ยินดีต้อนรับคะ blogger นี้ เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 0012006 อินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

ส. ชัด (ชิต เดชพิชัย) คุณครูนักปฏิวัติ


     

      ส. ชัด (ชิต เดชพิชัย) คุณครูนักปฏิวัติ     
      ชิต เดชพิชัย เกิดในปี พ.ศ. 2473 เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาจนจบชั้นประถม 4 จากโรงเรียนวัดท่าพญา จากนั้นเข้าศึกษาต่อระดับชั้นมัธยมจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่โรงเรียนวิชียรมาตุ แล้วได้มารับราชการครูเป็นครูประชาบาลที่โรงเรียนวัดท่าพญา เมื่อปี พ.ศ. 2489  โดยมีครูสิน เดิมหลิ่ม ทำหน้าที่รักษาการครูใหญ่เนื่องจากครูพร ศรีไตรรัตน์ไปเป็นศึกษาธิการ เป็นครูอยู่ที่โรงเรียนวัดท่าพญาได้ 2 ปีก็ถูกย้ายไปช่วยราชการที่โรงเรียนบ้านยวนโป๊ะสอน อยู่ที่นี่ได้ 6 เดือนก็ถูกย้ายกลับไปที่โรงเรียนวัดท่าพญาตามเดิม  บ้านบ่อถ่าน ตำบลท่าพญา อำเภอปะเหลียน  จังหวัดตรัง เป็นถิ่นที่อยู่ของนายกลั่ม เดชพิชัย กับ นางฉ้า ทิพกล่อม สองสามีภรรยาคู่นี้มีบุตรและธิดาด้วยกัน 7 คน คือ
นายเหิม เดชพิชัย อาชีพรับราชการครู
นายเปลก เดชพิชัย อาชีพเกษตรกร
นางปลื้ม (ฉ้ง) เดชพิชัย
นางเอิบ ช่วยเกต อาชีพค้าขาย
นายเช้า เดชพิชัย อาชีพเกษตรกร
นายชิต เดชพิชัย อาชีพรับราชการครู
นางหนูทิม จันทรเกต อาชีพเกษตรกร
       ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อันเป็นช่วงที่สภาพบ้านเมืองประสบกับความยากลำบากอัตคัดขาดแคลน ความแตกต่างของคนรวยกับคนจนห่างกันอย่างชัดเจน คนรวยก็รวยล้นฟ้า คนจนเลือดตาแทบกระเด็น มิหนำซ้ำเจ้านาย (ชนชั้นปกครอง) กลับกดขี่ข่มเหงชาวบ้าน ประกอบกับมีการเคลื่อนไหวความคิดสังคมนิยมของพรรคขยายมาสู่กลุ่มครูที่นี่ อาทิ ครูพร้อม ทองพิทักษ์ ครูสิน เดิมหลิ่ม ครูกนก บุณโยดม ซึ่งเป็นครูรุ่นพี่ ที่ชักชวนและให้การศึกษาจนครูชิต เดชพิชัย ตื่นตัวก้าวหน้าสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2493 งานที่ได้รับมอบหมายในขณะนั้นคือการทำการจัดตั้งชาวนาในตำบลท่าพญา โดยเริ่มจัดตั้งชาวนาให้รู้จักการรวมกลุ่มสามัคคี การใช้แรงงานดำนาลงแขกเกี่ยวข้าว ทำให้ได้กลุ่มชาวนามาหลายหน่วย มีการเคลื่อนไหวการขึ้นภาษียางของทางราชการและคัดค้านอิทธิพลท้องถิ่น จนมีการปลดกำนันท่าพญาออกคนหนึ่ง ผลของการเคลื่อนไหวได้ส่งผลสะเทือนไปยังตำบบลใกล้เคียงเช่น ตำบลย่านตาขาว ตำบลบางด้วน ตำบลบ้านนา อำเภอปะเหลียนและจังหวัดพัทลุงที่อยู่ใกล้เคียง
        ในปี พ.ศ. 2497 คุณประเสริฐ เอี้ยวฉาย จัดตั้งของพรรคฯ ได้มาบอกให้เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน หลังจากได้รับมอบหมายภาระหน้าที่จากพรรคฯ จึงได้เขียนใบลาออกจากราชการ โดยที่ทางการยังไม่ได้อนุมัติให้ลาออกก็ได้เดินทางไปประเทศจีน โดยเดินทางขึ้นมารวมกันที่จังหวัดนครปฐมกว่า 10 คน มีทั้งมาจากอีสานและภาคต่าง ๆ   ทางใต้ในชุดนี้มีไปด้วยกัน 3 คนคือคุณชม แก้ว และชิต เดชพิชัย โดยนั่งเรือสินค้าไปที่ฮ่องกงแล้วไปมาเก๊า จากนั้นจึงเดินทางโดยรถไฟไปปักกิ่ง ในราวปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2497
เมื่อไปถึง เขาได้จัดหมวดการศึกษาใหม่ขึ้น 1 หมวด ชื่อว่า หมวด 8 มีคนที่เดินทางไปก่อนแต่ยังไม่ได้ศึกษาก็มารวมไว้ในหมวดนี้ ศึกษาอยู่ได้ไม่กี่เดือนก็ย้ายไปเสฉวน เพราะมีจีนมีปัญหาขัดแย้งกับสหภาพโซเวียต (มีครูจีนและรัสเซียมาให้การศึกษา) ศึกษาอยู่ประมาณ 2 ปีจึงจบ หลังจากจบการศึกษาแล้วก็ได้ทยอยกลับประเทศ ลุงชิตได้กลับมาในรุ่นที่ 2 ขากลับต้องเดินทางผ่านเวียดนาม ลุงชิตไม่สบายและประกอบกับเวียดนามเหนือต้องทำการสู้รบอย่างหนักหน่วง จึงต้องอยู่ที่ฮานอยระยะหนึ่ง กลับมาถึงไทยสมัยจอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติเสร็จแล้ว ให้ พล.อ.ถนอม เป็นนายกรัฐมนตรี ประมาณปี พ.ศ. 2501
       หลังจากกลับมาแล้วได้รับมอบหมายภาระหน้าที่จากพรรคฯ ให้ทำงานมวลชนอยู่ที่นครศรีธรรมราช โดยมี ก้าน ปานช่วย  ถ่อง เจียงสกุล และลุงชิต เป็นคณะกรรมการจังหวัด โดยลุงชิตมาทำงานที่โรงงานขนงปังและเคลื่อนไหวจัดตั้งครู นักเรียน นักศึกษาและชาวนา  ทั้งในจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดอื่น ๆ ในภาคใต้ สามารถขยายสมาชิกพรรคฯ ได้หลายคนจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2502 สันติบาลได้เข้าจับกุมนักเรียนที่หาดใหญ่จนสาวมาถึงลุงชิต ทำให้พ่อตาลุงชิตที่อยู่ปัตตานีพร้อมเพื่อน ๆ ประมาณ 30 คนจากสงขลา นครศระรรมราช ปัตตานีและนราธิวาส ถูกจับติดคุกคนละ 6-8 ปี ส่วนลุงชิตติดนานกว่าเพื่อนถึง 10 ปี เพราะถูกจับขณะไปเป็นวิทยากรปลุกระดมนักเรียนนักศึกษาในสถาบันการศึกษาของรัฐ
     ติดคุกอยู่ที่คุกลาดยาวในกรุงเทพฯ ระยะหนึ่ง แล้วย้ายมาอยู่ที่คุกลหุโทษที่คลองเปรมจนครบ 10 ปีเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 ได้มีโอกาสตั้งวงดนตรีในคุกและร่วมเล่นดนตรีกับจิตร ภูมิศักดิ์  หลังจากพ้นโทษก็มาอยู่ที่กรุงเทพฯ ระยะหนึ่งเพื่อรอการติดต่อจากพรรคฯ  พอดี สุภัทร์ สุคนธาภิรมย์ เป็นคนพัทลุงและเพิ่งรู้จักกันตอนอยู่ในคุกได้มาชักชวนให้มาทำงานที่ธนาคารเอเชีย โดยมาอยู่ฝ่ายเก็บข้อมูลทางเศรษฐกิจการเมืองให้กับฝ่ายวิชาการของธนาคาร ลุงชิตได้ทำงานอยู่ที่นี่เป็นเวลา 3 ปี  หลังจากนั้นจึงเดินทางกลับมาอยู่ที่บ้านท่าพญา โดยมีภรรยาชื่อคุณเอื้อน (วาสนา ฤษชามาตุ) ยึดอาชีพทำนาและขายขนมใส่ไส้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวนักปฏิวัติ โดยเฉพาะชาวพรรคฯ หลังติดคุกแล้วทุกต้องอยู่เงียบ ๆ สักระยะหนึ่ง เพราะจะต้องถูกตรวจสอบติดตามอย่างแน่นอน จากนั้นทางจัดตั้งจึงได้ทำการติดต่อและบอกให้อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องติดต่อใคร ทางจัดตั้งจะให้สหายเขตงานมวลชนจากป่ามาติดต่อเอง
ช่วงมาอยู่บ้านก็ได้มีการต่อสู้ด้วยอาวุธของกองทัพเขตพัทลุง-ตรังแล้ว และมวลชนในตำบลท่าพญาก็มีความตื่นตัวพอสมควร หลังจากนั้นไม่นานทางรัฐบาลก็โหมปราบปรามอย่างหนักทั่วประเทศ โดยเฉพาะกรณีถังแดง (พ.ศ. 2514-2516) ที่จังหวัดพัทลุงและนครศรีธรรมราช ทำให้ชาวบ้านทะลักขึ้นป่ากันเป็นจำนวนมาก ทำให้กองทัพประสบกับความยากลำบากอย่างที่สุด จนต้องถอยลึกเข้าไปอยู่เขตป่าเขาและงานมวลชนหดตัวลง
      กองทัพและงานมวลชนเริ่มฟื้นตัวขึ้นหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 กองทหารที่เข้ามาตั้งตามหมู่บ้านในชนบทถอนตัวกลับไป ทำให้ลุงชิตติดต่อกับสหายที่อยู่ในป่าได้อีกครั้ง  งานมวลชนก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในเวลาเพียง 2-3 ปี จึงถูกเพ่งเล็งและจับตามองของทางราชการ จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารโหด 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ทางการจึงได้ปราบปรามอย่างรุนแรงทั้งในเมืองและชนบทรวมทั้งตำบลท่าพญาด้วย ชาวบ้านที่นี่จึงต้องหนีทะลักเข้าป่าจำนวนมากอีกครั้ง
ลุงชิตและภรรยา (คุณเอื้อน) จึงหนีเข้าป่าด้วย โดยนำลูกชายน้อย 2 คนคือ พิทูรย์ เดชพิชัย และพิชัย เดชพิชัย ไปฝากให้ญาติพี่น้องเลี้ยงดู
      ในระยแรกที่ขึ้นกองทัพ สหายได้จัดให้ ส.ชัด (ลุงชิต) ทำการผลิตอยู่บนค่ายในเขต 2 (ในตระ)  ส.ชัดจึงได้เขียนประวัติช่วงที่กลับจากประเทศจีนและช่วงที่ถูกจับติดคุกให้ทางพรรคทราบโดยละเอียด หลังจากนั้นทางพรรคฯ จึงส่งไปทำงานมวลชนแถวบ้านท่าพญาในฐานะหัวหน้าเขตงาน
สถานการณ์หลัง 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 และปีถัดมา งานปฏิวัติของเขตพัทลุง สตูล ขยายเขต 5 ซึ่งเป็นเขตพิเศษก็ว่าได้สำหรับเปิดโรงเรียนทางการเมืองการทหาร และโรงเรียนอนุชน ทางพรรคฯ จึงได้เรียกตัว ส.ชัด ให้มารับผิดชอบเขต 5 ทั้งหมดในฐานะคณะกรรมการจังหวัด
       ส.ชัด ได้เปิดโรงเรียนขึ้นที่นี่ทั้งหมด 5 รุ่น เป็นโรงเรียนการเมืองการทหารพื้นฐาน 3 รุ่น (ใช้ระยะเวลาอบรมรุ่นละ 3 เดือน) โรงเรียนผู้ปฏิบัติงานมวลชน 1 รุ่น และโรงเรียนนายร้อยภาคใต้ 1 รุ่น (ใช้เวลาทั้งหมด 9 เดือน) ช่วงที่อยู่ที่นี่ คุณเอื้อนได้กำเนิดบุตรชายคนสุดท้องชื่อ วิภาค เดชพิชัย ที่แม่เกือบเอาชีวิตไม่รอดด้วยการเป็นครรภ์ไข่ปลาดุก ทำให้ต้องผ่าตัดเปิดหน้าท้องเอาเด็กออก
ขณะเดียวกันสถานการณ์ทางสากล นับตั้งแต่จีนขัดแย้งกับสหภาพโซเวียตและประนีประนอมกับอเมริกา ซึ่งตรงข้ามกับพรรคไทยที่ถือว่าอเมริกาเป็นศัตรูหมายเลข 1 และในปี พ.ศ. 2522 เวียดนามรุกเข้ากัมพูชาและเวียดนามถูกจีนทำสงครามสั่งสอนทางภาคเหนือ จีนจึงขอร้องให้พรรคไทยอย่าใช้สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย (สปท.) โจมตีรัฐบาลไทยเพื่อแลกกับการส่งอาวุธยุทธภัณฑ์ช่วยเหลือเขมรแดง แต่พรรคเราเลือกที่จะปิด สปท. ที่เปิดมาเป็นเวลา 17 ปีแทน ส่งผลสะเทือนเป็นวิกฤติศรัทธาต่ออุดมการณ์สังคมนิยมของสหายในขบวนปฏิวัติ  ต่างค่อย ๆ ทยอยออกมาจากเขตป่าเขาจนไม่มีนักเรียนมาเรียนในโรงเรียนการเมืองการทหาร
       นับได้ว่าช่วงชีวิต ส.ชัด ที่อยู่ในป่า เป็นเวลา 5 ปีเศษ  เวลาเกือบทั้งหมดใช้ไปทางการศึกษาและฝึกอบรมที่เขต 5 และในปี พ.ศ. 2524 ทางเขตสุราษฎร์ธานีได้เปิดโรงเรียนพรรค ทางจัดตั้งได้ขอตัวให้มาช่วยสอนร่วมกับคุณประสิทธิ์ ตะเพียนทอง เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์การเมืองเป็นเวลา 3 เดือน เสร็จภารกิจแล้วจึงได้กลับมาที่เขต 5 ตามเดิม
      หลังจาก ส.ชัด ลงจากกองทัพแล้วในปี พ.ศ. 2525 แล้ว  ยังคงทำงานต่อไปตามเงื่อนไขที่ทำได้ในเวลานั้น เช่น พยายามรวมสมัครพรรคพวกที่เคยเข้าป่าให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ติดตามข่าวสารบ้านเมืองและใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2551  ด้วยโรคชราในวัย 78 ปี “รักษาเกียรติภูมิของชาวพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ว่าสถานการณ์จะอยู่ในกระแสสูงหรือกระแสต่ำจนสิ้นลมหายใจ”
 
                                                                              ที่มา : ไฟลามทุ่ง

อ้างอิง http://www.oknation.net/blog/print.php?id=321270

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น