ยินดีต้อนรับคะ blogger นี้ เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 0012006 อินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)


พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) (อังกฤษ: Communist Party of Thailand - CPT) เป็นพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย แม้ตามกฎหมายไทย พคท.จะยังไม่ใช่พรรคการเมืองจดทะเบียน เนื่องจากไม่เคยจดทะเบียนจัดตั้งอย่างเป็นทางการ แต่ในทางปฏิบัติต้องถือว่าเป็นพรรคการเมืองจริง มีอุดมการณ์การเมืองชัดเจนตั้งแต่ก่อตั้ง ดำเนินแนวทางตาม ลัทธิมาร์กซ์, ลัทธิเลนิน และความคิดเหมาเจ๋อตง นอกจากนั้น ในอดีต ยังมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของไทยที่สังกัด พคท. อีกด้วย ได้แก่ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ในปัจจุบัน ถึงแม้จะยังไม่มีการประกาศยุบพรรค แต่ก็มิได้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองแต่อย่างใด ช่วงปี พ.ศ. 2547 มีกระแสข่าวจากหลายสื่อว่า ทางพรรคอาจจะมีการจัดการประชุมสมัชชา พคท. อีกครั้ง (เป็นการประชุมครั้งที่ 5) แต่ก็ไม่เกิดขึ้น
ประวัติ
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เดิมเรียก พรรคคอมมิวนิสต์สยาม เริ่มก่อตั้งโดยโฮจิมินห์ ชาวเวียดนาม ใช้นามแฝงว่า สหายซุง โดยประชุมครั้งแรกแบบลับๆ ที่ โรงแรมตุ้นกี่ หน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง เมื่อ 20 เมษายน พ.ศ. 2473 โดยแต่งตั้งหลี หรือ โงจิ๊งก๊วก เป็นเลขาธิการพรรคคนแรก และมีตัวแทนสองคนคือ ตัง หรือ เจิ่นวันเจิ๋น และ เหล่าโหงว หรือ อู่จื้อจือ จนก่อตั้งเป็นรูปร่างเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2485 หลังการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1 ที่กรุงเทพมหานคร โดยมีสมาชิกก่อตั้ง 57 คน พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นพรรคแนวอุดมการณ์ ยึดมั่นในลัทธิมาร์กซ เลนินและความคิด"เหมา" โดยมีความมุ่งหมายเพื่อสร้างความเสมอภาคทางชนชั้นชี้นำสังคมโดยพรรคคอมมิวนิสต์ และต่อสู้เอาชนะระบบทุนนิยมด้วยวิธี "ป่าล้อมเมือง"
วันเสียงปืนแตก

[แก้]

วันเสียงปืนแตก คือวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508 ซึ่งเป็นวันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยใช้อาวุธโจมตีกองกำลังของรัฐบาลไทยเป็นครั้งแรก กองกำลังของพรรคได้เรียกตนเองว่า กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย (ทปท.) เหตุเกิดที่ บ้านนาบัว ตำบลโคกหินแฮ่ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม ทั้งนี้ได้ประกาศยุทธศาสตร์ "ต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ ใช้ชนบทล้อมเมือง และยึดเมือง" หลังจากวันเสียงปืนแตก พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ต่อสู้ด้วยอาวุธกับกองกำลังของรัฐบาลไทยมาตลอด และในยุค "แสวงหา" บรรดานักเรียนนักศึกษาประชาชนร่วมเข้าป่าเพื่อต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 จนกระทั่งปี พ.ศ. 2523 รัฐบาลพลเอกเปรม ติณณสูลานนท์ได้ออกคำสั่ง 66/2523 เพื่อนิรโทษกรรมแก่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ และปี พ.ศ. 2525 พรรคมีการเจรจากับรัฐบาลไทย เลิกต่อสู้ด้วยอาวุธ ให้มาต่อสู้กันทางรัฐสภาแทน บรรดานักปฏิวัติหลายคนที่ผิดหวังต่อแนวทางของพรรคที่อิงจีนมากเกินไป โดยไม่อาศัยสภาพความเป็นจริงของประเทศไทย จึงยุติการต่อสู้ หลังจากนั้นพรรคก็อ่อนกำลังลงมาจนกระทั่งสูญสลายไปในที่สุด ในปัจจุบันยังคงมีพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอยู่ แต่ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆล่าสุดมีการร่วมตัวกันพบปะกันของคนในพรรค ทั้งนี้ที่พรรคไม่ได้แสดงความเคลื่อนไหวใดๆในทางการเมืองเป็นเวลานาน ไม่ได้หมายความว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยสูญสลายไป

ส. ชัด (ชิต เดชพิชัย) คุณครูนักปฏิวัติ


     

      ส. ชัด (ชิต เดชพิชัย) คุณครูนักปฏิวัติ     
      ชิต เดชพิชัย เกิดในปี พ.ศ. 2473 เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาจนจบชั้นประถม 4 จากโรงเรียนวัดท่าพญา จากนั้นเข้าศึกษาต่อระดับชั้นมัธยมจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่โรงเรียนวิชียรมาตุ แล้วได้มารับราชการครูเป็นครูประชาบาลที่โรงเรียนวัดท่าพญา เมื่อปี พ.ศ. 2489  โดยมีครูสิน เดิมหลิ่ม ทำหน้าที่รักษาการครูใหญ่เนื่องจากครูพร ศรีไตรรัตน์ไปเป็นศึกษาธิการ เป็นครูอยู่ที่โรงเรียนวัดท่าพญาได้ 2 ปีก็ถูกย้ายไปช่วยราชการที่โรงเรียนบ้านยวนโป๊ะสอน อยู่ที่นี่ได้ 6 เดือนก็ถูกย้ายกลับไปที่โรงเรียนวัดท่าพญาตามเดิม  บ้านบ่อถ่าน ตำบลท่าพญา อำเภอปะเหลียน  จังหวัดตรัง เป็นถิ่นที่อยู่ของนายกลั่ม เดชพิชัย กับ นางฉ้า ทิพกล่อม สองสามีภรรยาคู่นี้มีบุตรและธิดาด้วยกัน 7 คน คือ
นายเหิม เดชพิชัย อาชีพรับราชการครู
นายเปลก เดชพิชัย อาชีพเกษตรกร
นางปลื้ม (ฉ้ง) เดชพิชัย
นางเอิบ ช่วยเกต อาชีพค้าขาย
นายเช้า เดชพิชัย อาชีพเกษตรกร
นายชิต เดชพิชัย อาชีพรับราชการครู
นางหนูทิม จันทรเกต อาชีพเกษตรกร
       ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อันเป็นช่วงที่สภาพบ้านเมืองประสบกับความยากลำบากอัตคัดขาดแคลน ความแตกต่างของคนรวยกับคนจนห่างกันอย่างชัดเจน คนรวยก็รวยล้นฟ้า คนจนเลือดตาแทบกระเด็น มิหนำซ้ำเจ้านาย (ชนชั้นปกครอง) กลับกดขี่ข่มเหงชาวบ้าน ประกอบกับมีการเคลื่อนไหวความคิดสังคมนิยมของพรรคขยายมาสู่กลุ่มครูที่นี่ อาทิ ครูพร้อม ทองพิทักษ์ ครูสิน เดิมหลิ่ม ครูกนก บุณโยดม ซึ่งเป็นครูรุ่นพี่ ที่ชักชวนและให้การศึกษาจนครูชิต เดชพิชัย ตื่นตัวก้าวหน้าสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2493 งานที่ได้รับมอบหมายในขณะนั้นคือการทำการจัดตั้งชาวนาในตำบลท่าพญา โดยเริ่มจัดตั้งชาวนาให้รู้จักการรวมกลุ่มสามัคคี การใช้แรงงานดำนาลงแขกเกี่ยวข้าว ทำให้ได้กลุ่มชาวนามาหลายหน่วย มีการเคลื่อนไหวการขึ้นภาษียางของทางราชการและคัดค้านอิทธิพลท้องถิ่น จนมีการปลดกำนันท่าพญาออกคนหนึ่ง ผลของการเคลื่อนไหวได้ส่งผลสะเทือนไปยังตำบบลใกล้เคียงเช่น ตำบลย่านตาขาว ตำบลบางด้วน ตำบลบ้านนา อำเภอปะเหลียนและจังหวัดพัทลุงที่อยู่ใกล้เคียง
        ในปี พ.ศ. 2497 คุณประเสริฐ เอี้ยวฉาย จัดตั้งของพรรคฯ ได้มาบอกให้เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน หลังจากได้รับมอบหมายภาระหน้าที่จากพรรคฯ จึงได้เขียนใบลาออกจากราชการ โดยที่ทางการยังไม่ได้อนุมัติให้ลาออกก็ได้เดินทางไปประเทศจีน โดยเดินทางขึ้นมารวมกันที่จังหวัดนครปฐมกว่า 10 คน มีทั้งมาจากอีสานและภาคต่าง ๆ   ทางใต้ในชุดนี้มีไปด้วยกัน 3 คนคือคุณชม แก้ว และชิต เดชพิชัย โดยนั่งเรือสินค้าไปที่ฮ่องกงแล้วไปมาเก๊า จากนั้นจึงเดินทางโดยรถไฟไปปักกิ่ง ในราวปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2497
เมื่อไปถึง เขาได้จัดหมวดการศึกษาใหม่ขึ้น 1 หมวด ชื่อว่า หมวด 8 มีคนที่เดินทางไปก่อนแต่ยังไม่ได้ศึกษาก็มารวมไว้ในหมวดนี้ ศึกษาอยู่ได้ไม่กี่เดือนก็ย้ายไปเสฉวน เพราะมีจีนมีปัญหาขัดแย้งกับสหภาพโซเวียต (มีครูจีนและรัสเซียมาให้การศึกษา) ศึกษาอยู่ประมาณ 2 ปีจึงจบ หลังจากจบการศึกษาแล้วก็ได้ทยอยกลับประเทศ ลุงชิตได้กลับมาในรุ่นที่ 2 ขากลับต้องเดินทางผ่านเวียดนาม ลุงชิตไม่สบายและประกอบกับเวียดนามเหนือต้องทำการสู้รบอย่างหนักหน่วง จึงต้องอยู่ที่ฮานอยระยะหนึ่ง กลับมาถึงไทยสมัยจอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติเสร็จแล้ว ให้ พล.อ.ถนอม เป็นนายกรัฐมนตรี ประมาณปี พ.ศ. 2501
       หลังจากกลับมาแล้วได้รับมอบหมายภาระหน้าที่จากพรรคฯ ให้ทำงานมวลชนอยู่ที่นครศรีธรรมราช โดยมี ก้าน ปานช่วย  ถ่อง เจียงสกุล และลุงชิต เป็นคณะกรรมการจังหวัด โดยลุงชิตมาทำงานที่โรงงานขนงปังและเคลื่อนไหวจัดตั้งครู นักเรียน นักศึกษาและชาวนา  ทั้งในจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดอื่น ๆ ในภาคใต้ สามารถขยายสมาชิกพรรคฯ ได้หลายคนจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2502 สันติบาลได้เข้าจับกุมนักเรียนที่หาดใหญ่จนสาวมาถึงลุงชิต ทำให้พ่อตาลุงชิตที่อยู่ปัตตานีพร้อมเพื่อน ๆ ประมาณ 30 คนจากสงขลา นครศระรรมราช ปัตตานีและนราธิวาส ถูกจับติดคุกคนละ 6-8 ปี ส่วนลุงชิตติดนานกว่าเพื่อนถึง 10 ปี เพราะถูกจับขณะไปเป็นวิทยากรปลุกระดมนักเรียนนักศึกษาในสถาบันการศึกษาของรัฐ
     ติดคุกอยู่ที่คุกลาดยาวในกรุงเทพฯ ระยะหนึ่ง แล้วย้ายมาอยู่ที่คุกลหุโทษที่คลองเปรมจนครบ 10 ปีเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 ได้มีโอกาสตั้งวงดนตรีในคุกและร่วมเล่นดนตรีกับจิตร ภูมิศักดิ์  หลังจากพ้นโทษก็มาอยู่ที่กรุงเทพฯ ระยะหนึ่งเพื่อรอการติดต่อจากพรรคฯ  พอดี สุภัทร์ สุคนธาภิรมย์ เป็นคนพัทลุงและเพิ่งรู้จักกันตอนอยู่ในคุกได้มาชักชวนให้มาทำงานที่ธนาคารเอเชีย โดยมาอยู่ฝ่ายเก็บข้อมูลทางเศรษฐกิจการเมืองให้กับฝ่ายวิชาการของธนาคาร ลุงชิตได้ทำงานอยู่ที่นี่เป็นเวลา 3 ปี  หลังจากนั้นจึงเดินทางกลับมาอยู่ที่บ้านท่าพญา โดยมีภรรยาชื่อคุณเอื้อน (วาสนา ฤษชามาตุ) ยึดอาชีพทำนาและขายขนมใส่ไส้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวนักปฏิวัติ โดยเฉพาะชาวพรรคฯ หลังติดคุกแล้วทุกต้องอยู่เงียบ ๆ สักระยะหนึ่ง เพราะจะต้องถูกตรวจสอบติดตามอย่างแน่นอน จากนั้นทางจัดตั้งจึงได้ทำการติดต่อและบอกให้อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องติดต่อใคร ทางจัดตั้งจะให้สหายเขตงานมวลชนจากป่ามาติดต่อเอง
ช่วงมาอยู่บ้านก็ได้มีการต่อสู้ด้วยอาวุธของกองทัพเขตพัทลุง-ตรังแล้ว และมวลชนในตำบลท่าพญาก็มีความตื่นตัวพอสมควร หลังจากนั้นไม่นานทางรัฐบาลก็โหมปราบปรามอย่างหนักทั่วประเทศ โดยเฉพาะกรณีถังแดง (พ.ศ. 2514-2516) ที่จังหวัดพัทลุงและนครศรีธรรมราช ทำให้ชาวบ้านทะลักขึ้นป่ากันเป็นจำนวนมาก ทำให้กองทัพประสบกับความยากลำบากอย่างที่สุด จนต้องถอยลึกเข้าไปอยู่เขตป่าเขาและงานมวลชนหดตัวลง
      กองทัพและงานมวลชนเริ่มฟื้นตัวขึ้นหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 กองทหารที่เข้ามาตั้งตามหมู่บ้านในชนบทถอนตัวกลับไป ทำให้ลุงชิตติดต่อกับสหายที่อยู่ในป่าได้อีกครั้ง  งานมวลชนก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในเวลาเพียง 2-3 ปี จึงถูกเพ่งเล็งและจับตามองของทางราชการ จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารโหด 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ทางการจึงได้ปราบปรามอย่างรุนแรงทั้งในเมืองและชนบทรวมทั้งตำบลท่าพญาด้วย ชาวบ้านที่นี่จึงต้องหนีทะลักเข้าป่าจำนวนมากอีกครั้ง
ลุงชิตและภรรยา (คุณเอื้อน) จึงหนีเข้าป่าด้วย โดยนำลูกชายน้อย 2 คนคือ พิทูรย์ เดชพิชัย และพิชัย เดชพิชัย ไปฝากให้ญาติพี่น้องเลี้ยงดู
      ในระยแรกที่ขึ้นกองทัพ สหายได้จัดให้ ส.ชัด (ลุงชิต) ทำการผลิตอยู่บนค่ายในเขต 2 (ในตระ)  ส.ชัดจึงได้เขียนประวัติช่วงที่กลับจากประเทศจีนและช่วงที่ถูกจับติดคุกให้ทางพรรคทราบโดยละเอียด หลังจากนั้นทางพรรคฯ จึงส่งไปทำงานมวลชนแถวบ้านท่าพญาในฐานะหัวหน้าเขตงาน
สถานการณ์หลัง 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 และปีถัดมา งานปฏิวัติของเขตพัทลุง สตูล ขยายเขต 5 ซึ่งเป็นเขตพิเศษก็ว่าได้สำหรับเปิดโรงเรียนทางการเมืองการทหาร และโรงเรียนอนุชน ทางพรรคฯ จึงได้เรียกตัว ส.ชัด ให้มารับผิดชอบเขต 5 ทั้งหมดในฐานะคณะกรรมการจังหวัด
       ส.ชัด ได้เปิดโรงเรียนขึ้นที่นี่ทั้งหมด 5 รุ่น เป็นโรงเรียนการเมืองการทหารพื้นฐาน 3 รุ่น (ใช้ระยะเวลาอบรมรุ่นละ 3 เดือน) โรงเรียนผู้ปฏิบัติงานมวลชน 1 รุ่น และโรงเรียนนายร้อยภาคใต้ 1 รุ่น (ใช้เวลาทั้งหมด 9 เดือน) ช่วงที่อยู่ที่นี่ คุณเอื้อนได้กำเนิดบุตรชายคนสุดท้องชื่อ วิภาค เดชพิชัย ที่แม่เกือบเอาชีวิตไม่รอดด้วยการเป็นครรภ์ไข่ปลาดุก ทำให้ต้องผ่าตัดเปิดหน้าท้องเอาเด็กออก
ขณะเดียวกันสถานการณ์ทางสากล นับตั้งแต่จีนขัดแย้งกับสหภาพโซเวียตและประนีประนอมกับอเมริกา ซึ่งตรงข้ามกับพรรคไทยที่ถือว่าอเมริกาเป็นศัตรูหมายเลข 1 และในปี พ.ศ. 2522 เวียดนามรุกเข้ากัมพูชาและเวียดนามถูกจีนทำสงครามสั่งสอนทางภาคเหนือ จีนจึงขอร้องให้พรรคไทยอย่าใช้สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย (สปท.) โจมตีรัฐบาลไทยเพื่อแลกกับการส่งอาวุธยุทธภัณฑ์ช่วยเหลือเขมรแดง แต่พรรคเราเลือกที่จะปิด สปท. ที่เปิดมาเป็นเวลา 17 ปีแทน ส่งผลสะเทือนเป็นวิกฤติศรัทธาต่ออุดมการณ์สังคมนิยมของสหายในขบวนปฏิวัติ  ต่างค่อย ๆ ทยอยออกมาจากเขตป่าเขาจนไม่มีนักเรียนมาเรียนในโรงเรียนการเมืองการทหาร
       นับได้ว่าช่วงชีวิต ส.ชัด ที่อยู่ในป่า เป็นเวลา 5 ปีเศษ  เวลาเกือบทั้งหมดใช้ไปทางการศึกษาและฝึกอบรมที่เขต 5 และในปี พ.ศ. 2524 ทางเขตสุราษฎร์ธานีได้เปิดโรงเรียนพรรค ทางจัดตั้งได้ขอตัวให้มาช่วยสอนร่วมกับคุณประสิทธิ์ ตะเพียนทอง เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์การเมืองเป็นเวลา 3 เดือน เสร็จภารกิจแล้วจึงได้กลับมาที่เขต 5 ตามเดิม
      หลังจาก ส.ชัด ลงจากกองทัพแล้วในปี พ.ศ. 2525 แล้ว  ยังคงทำงานต่อไปตามเงื่อนไขที่ทำได้ในเวลานั้น เช่น พยายามรวมสมัครพรรคพวกที่เคยเข้าป่าให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ติดตามข่าวสารบ้านเมืองและใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2551  ด้วยโรคชราในวัย 78 ปี “รักษาเกียรติภูมิของชาวพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ว่าสถานการณ์จะอยู่ในกระแสสูงหรือกระแสต่ำจนสิ้นลมหายใจ”
 
                                                                              ที่มา : ไฟลามทุ่ง

อ้างอิง http://www.oknation.net/blog/print.php?id=321270

บันทึกนักปฏิวัติไทย.. พลโทประยูร ภมรมนตรี


...การเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่เริ่มแรก มีเรื่องพึงสังเกตที่ก่อความปั่นป่วนแตกร้าวและความอลเวงวิบัติในการเมืองที่เกิดขึ้นตลอดมาเป็นลำดับ นับตั้งแต่วันแรกในคำประกาศยึดอำนาจการปกครอง มีการนำคำว่า ศรีอารยะ อันเป็นการแฝงถึงระบอบคอมมิวนิสต์เข้ามาใช้บังหน้าเป็นปฐมฤกษ์ ครั้นต่อมาในการนำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราวขึนทูลเกล้าถวาย ณ วังสุโขทัย เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2475 ในการเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ ในวาระนี้ มีบุคคลรวมตัวเป็นคณะ 9 ท่านคือ พล. ร.ต. พระยาสรยุทธเสนีย์ พ.อ. พระยาทรงสุรเดช พ.อ. พระยาฤทธิอัคเนย์ พ.ท. พระประสาทพิทยายุทธ พ.ต. หลวงวระโยธา หลวงประดิษฐ์มนูธรรม รท. จรูญ ณ บางช้าง นายสงวน ตุลาลักษณ์ กับข้าพเจ้า ก่อนที่จะเข้าเฝ้านั้น พล. ท. พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร สมุหราชองครักษ์ได้นำพระราชปรารภมาบอกกล่าวให้ทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังไม่สามารถจะเจรจากับคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองภายใต้การขู่เข็ญของรถถังได้ ขอให้ถอยพวกยานเกราะออกไปให้พ้นพระราชวัง...

... หลวงประดิษฐ์มนูธรรมได้นำรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าถวาย ทรงตั้งพระทัยพิจารณาอย่างจริงจัง แต่ครั้นแล้วก็มีข้อความหลายตอนที่ข้องพระทัยยิ่งนัก จึงตรัสถามพระยาทรงสุรเดชว่า ได้อ่านรัฐธรรมนูญมาก่อนหรือเปล่า ซึ่งพระยาทรงสุรเดชกราบทูลว่าไม่ได้อ่านแล้วทรงหันมาถามข้าพเจ้าว่าได้อ่านหรือเปล่า ข้าพเจ้าก็ตอบว่าไม่ได้อ่านเช่นกันเพราะไม่ใช่หน้าที่ และท่านเจ้าคุณได้กำชับหลวงประดิษฐ์ ฯ แล้วว่าให้ร่างตามแบบอังกฤษ ซึ่งมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งรับสั่งว่าต้องการจะให้เป็นเช่นนั้น แต่นี่เรื่องอะไรกันถึงกับจะต้องใช้คำว่า เสนาบดีว่า คณะกรรมการราษฎร ซึ่งเป็นแบบรัสเซีย แบบคอมมิวนิสต์ ทรงไม่เข้าใจว่านี่มันอะไรกัน

พระยาทรงสุรเดชรู้สึกตกตลึงอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นมาถวายคำนับว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอพระ
ราชทานสารภาพผิด ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานสารภาพผิด ข้าพระพุทธเจ้ามิได้อ่านมาก่อน ดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานอภัยและขอถวายสัตย์ว่า จะไปร่างมาใหม่ให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ทุกประการ สมเด็จพระปกเกล้าทรงนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง น้ำพระเนครขุ่น รู้สึกอัดอั้นตันพระทัยอย่างยิ่ง น้ำพระเนตรไหลแล้วรับสั่งว่า ถ้าพระยาทรงสุรเดชรับรองว่าจะเอาไปแก้ไขกันใหม่ ฉันก็จะยอมเชื่อพระยาทรง ฯ แต่อย่างไรก็ตามวันนี้หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมเซ็น แล้วขอให้เป็นวันที่ 27 คือต่อจากนั้นอีกสองวัน แล้วจึงสเด็จขึ้น พวกเราทุกคนต่างตกตลึงพรึงเพริดทยอยกันออกไปยืนที่ลานหน้าพระราชวัง พระยาทรง ฯ ชี้หน้าหลวงประดิษฐ์ ฯ ว่า คุณหลวงทำฉิบหายป่นปี้ ไม่ทำตามที่บอกกล่าวกันไว้ ทำอะไรไปนอกเรื่อง...

อ้างอิง http://looktao.multiply.com/journal/item/211/211

จิตร ภูมิศักดิ์


จิตร ภูมิศักดิ์ (25 กันยายน พ.ศ. 2473 — 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2509) เป็นนักคิดด้านการเมือง นักประวัติศาสตร์ และนักภาษาศาสตร์ นับเป็นนักปราชญ์และนักปฏิวัติทางความคิดและวิชาการคนสำคัญของประเทศไทย จิตรเป็นนักวิชาการคนแรกๆ ที่กล้าถกเถียงและคัดค้านปราชญ์คนสำคัญ ด้วยวิธีคิดที่มีเหตุผลและลุ่มลึก มีความโดดเด่นจากผลงานการค้นคว้าทางวิชาการที่แปลกใหม่และลึกซึ้ง ขณะเดียวกันจิตรยังมีความคิดต่อต้านระบบเผด็จการและการใช้อำนาจกดขี่ของชนชั้นสูงมาโดยตลอด
ไฟล์:Chit.jpg
จิตรเป็นบุตรของ นายศิริ ภูมิศักดิ์ และนางแสงเงิน ภูมิศักดิ์ มีชื่อเดิมว่า สมจิตร ภูมิศักดิ์ แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็น จิตร เพียงคำเดียว ตามนโยบายตั้งชื่อให้ระบุเพศชายหญิงอย่างชัดเจน ของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
จิตรเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2509 หลังเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย โดยถูกอาสาสมัครและทหารล้อมยิง
การศึกษา
  • พ.ศ. 2479 จิตรติดตามบิดา ซึ่งรับราชการเป็นนายตรวจสรรพสามิต เดินทางไปรับราชการยังจังหวัดกาญจนบุรี และเข้ารับการศึกษาชั้นประถม ที่โรงเรียนประจำจังหวัดแห่งนั้น จิตรย้ายมาอยู่ที่สมุทรปราการ เมื่อปี พ.ศ. 2482 บิดาของจิตรย้ายไปรับราชการในเมืองพระตะบอง ซึ่งสมัยนั้นเป็นเมืองในการปกครองของไทย (ปัจจุบันอยู่ในอาณาเขตของกัมพูชา) จิตรจึงย้ายตามไปด้วย และได้เข้าศึกษาชั้นมัธยมที่นั่น
  • พ.ศ. 2490 ประเทศไทย ต้องคืนดินแดนเมืองพระตะบองให้กัมพูชา จิตรจึงอพยพตามมารดากลับเมืองไทย ส่วนบิดานั้นไปเริ่มชีวิตครอบครัวใหม่กับหญิงอื่นๆ ระหว่างที่ครอบครัวภูมิศักดิ์ ยังอยู่ที่พระตะบอง นางแสงเงินเดินทางไปค้าขายที่จังหวัดลพบุรี ขณะที่จิตรและพี่สาว เดินทางมาศึกษาต่อในกรุงเทพมหานคร โดยจิตรเข้าเรียนที่โรงเรียนเบญจมบพิตรหรือโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตรในปัจจุบัน และสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในที่สุด
แนวคิดและการต่อสู้
ชื่อเสียงของ จิตร ภูมิศักด์ น่าจะโด่งดังในสาธารณชนวงกว้างเป็นครั้งแรก จากกรณี โยนบก เมื่อครั้งที่เขาเป็นสาราณียากร ให้กับหนังสือประจำปี ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2496 ในครั้งนั้นเขาได้เปลี่ยนแปลงเนื้อหาที่ "ซ้ำ ๆ ซาก ๆ" ของหนังสือประจำปี โดยลงบทความสะท้อนปัญหาสังคม ประณามผู้เอารัดเอาเปรียบในสังคม ซึ่งรวมถึงรัฐบาลด้วย รวมทั้งชี้ให้เห็นค่านิยมอันไม่ถูกต้อง ซึ่งผู้คนนับถือกันมานาน โดยบทความเหล่านั้น มีทั้งที่จิตรเขียนเอง ร่วมแก้ไข หรือเพื่อน ๆ คนอื่นเขียน ผลก็คือระหว่างการพิมพ์หนังสือได้ถูกตำรวจสันติบาลอายัด และมีการ "สอบสวน" จิตรที่หอประชุมใหญ่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในเหตุการณ์นั้น จิตรถูกกลุ่มนิสิตที่นำโดยนายสีหเดช บุนนาคคณะวิศวกรรมศาสตร์ตั้งศาลเตี้ยจับ "โยนบก" ลงจากเวทีหอประชุม ทำให้จิตรได้รับบาดเจ็บต้องเข้าโรงพยาบาลและพักรักษาตัวอยู่หลายวัน ต่อมาทางมหาวิทยาลัยได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาโทษและมีมติให้จิตร ภูมิศักดิ์ถูกพักการเรียนเป็นเวลา 1 ปี คือในปี พ.ศ. 2497
ระหว่างถูกพักการเรียน จิตรได้ไปสอนวิชาภาษาไทยที่โรงเรียนอินทร์ศึกษา แต่สอนได้ไม่นาน ก็ถูกไล่ออกไป เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีหัวก้าวหน้ามากเกินไป จิตรจึงไปทำงานกับหนังสือพิมพ์ไทยใหม่ ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง ที่จิตรได้สร้างสรรค์ผลงานการวิจารณ์ที่มีคุณค่าต่อวงวิชาการไทยหลายเรื่อง เช่น การวิจารณ์วรรณศิลป์ วิจารณ์หนังสือ วิจารณ์ภาพยนตร์ โดยใช้นามปากกา "บุ๊คแมน" และ "มูฟวี่แมน"
ปี พ.ศ. 2498 เขากลับเข้าเรียนอีกครั้งและสำเร็จปริญญาอักษรศาสตร์บัณฑิตในปี พ.ศ. 2500 จากนั้นก็เข้าเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์และศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร จนกระทั่งถูกจับในข้อหา "สมคบกันกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายใน และภายนอกราชอาณาจักรและกระทำการเป็นคอมมิวนิสต์" เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2501 เขาถูกคุมขังอยู่จนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2507 จึงได้รับการปลดปล่อยและพ้นจากข้อหาของทางการ
เนื่องจากเขาถูกติดตามคุกคามจากทางการและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอย่างหนักทำให้เดือนตุลาคม พ.ศ. 2508 จิตรได้เดินทางสู่ชนบทภาคอีสาน เพื่อเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ในนาม สหายปรีชา ต่อมาถูกอดีตกำนันตำบลคำบ่อ อาสาสมัคร และทหาร ล้อมยิงจนเสียชีวิต ตายด้วยกระสุนปืนที่ทุ่งนากลางป่าละเมาะ บ้านหนองกุง ตำบลคำบ่อ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2509
ผลงาน

[แก้]

จิตรมีความสามารถในด้านภาษาศาสตร์และนิรุกติศาสตร์อย่างมาก และยังมีความสามารถระดับสูงในด้านอื่น ๆ เช่น ประวัติศาสตร์ ถือว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลของไทยคนหนึ่ง ในด้านภาษาศาสตร์นั้น จิตรมีความเชี่ยวชาญในภาษาฝรั่งเศส ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาเขมร โดยเฉพาะภาษาเขมรนั้น จิตรมีความเชี่ยวชาญทั้งภาษาเขมรปัจจุบันและภาษาเขมรโบราณด้วย นอกจากนี้ จิตรได้เขียนพจนานุกรมภาษาละหุ (มูเซอ) โดยเรียนรู้กับชาวมูเซอขณะอยู่ในคุกลาดยาว ในตอนแรก ชาวมูเซอไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ จิตรเองก็ไม่สามารถพูดภาษามูเซอได้เช่นกัน แต่ด้วยความสามารถ เขาสามารถเรียนรู้ระบบของภาษา และนำมาใช้ได้อย่างน่าอัศจรรย์

[แก้]งานเขียนชิ้นเด่น

  • หนังสือ "ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ", 2519*
  • หนังสือ "ข้อเท็จจริงว่าด้วยชนชาติขอม" (ต่อมาพิมพ์รวมเล่มกับ "ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และ ขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ" เป็น "ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และ ขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ ฉบับสมบูรณ์")
  • หนังสือ "โฉมหน้าศักดินาไทย"*
  • หนังสือ "ภาษาและนิรุกติศาสตร์"
  • หนังสือ "ศัพท์สันนิษฐานและอักษรวินิจฉัย", 2548
  • หนังสือ "โองการแช่งน้ำ และ ข้อคิดใหม่ในประวัติศาสตร์ไทยลุ่มน้ำเจ้าพระยา", 2524
  • หนังสือ "สังคมไทยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนสมัยศรีอยุธยา", 2526
  • หนังสือ "ตำนานแห่งนครวัด"
  • เพลง "ภูพานปฏิวัติ"
  • เพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา"
  • บทกวี "เธอคือหญิงรับจ้างแท้ใช่แม่คน"
  • บทกวี "อะไรแน่ ศาสนา ข้าสงสัย"
  • บทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์*
ผลงานที่มี * ข้างท้าย หมายถึงถูกคัดเลือกให้อยู่ใน หนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน
นามปากกา

[แก้]

นามปากกาของจิตรมีเป็นจำนวนมาก เช่น นาคราช, ศูลภูวดล, ศรีนาคร, ทีปกร, สมสมัย ศรีศูทรพรรณ, ศิลป์ พิทักษ์ชน, สมชาย ปรีชาเจริญ, สุธรรม บุญรุ่ง, ขวัญนรา, สิทธิ ศรีสยาม1, กวีการเมือง, กวี ศรีสยาม, บุคแมน, มูฟวี่แมน (มูวี่แมน) , ศิริศิลป์ อุดมทรรศน์, จักร ภูมิสิทธิ์2
หมายเหตุ:  หมายถึง ใช้เพียงครั้งเดียว,  เป็นคำผวนของชื่อ จิตร ภูมิศักดิ์

อ้างอิง http://th.wikipedia.org/wiki/จิตร_ภูมิศักดิ์