ยินดีต้อนรับคะ blogger นี้ เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 0012006 อินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พ.ศ. 2551

การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พ.ศ. 2551 เป็นการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อต่อต้านพรรคพลังประชาชน โดยเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2553 ซึ่งการชุมนุมยังคงมีเป้าหมายที่จะต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
หลังจากรัฐบาลผสมที่มีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำรัฐบาลบริหารประเทศมาระยะเวลาหนึ่ง กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เริ่มชุมนุมอีกครั้งในวันที่ 28 มีนาคม โดยการจัดสัมมนาที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และได้ประกาศชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม โดยเป็นการรวมตัวจากหลายองค์กรทั่วประเทศ ซึ่งมีจุดประสงค์ในการขับไล่นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐบาลทั้งสองชุดถูกมองว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ในเดือนพฤศจิกายน กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เข้าปิดล้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อต่อรองกับนายกรัฐมนตรี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ให้ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งส่งผลให้เที่ยวบินทุกเที่ยวหยุดทำการ โดยนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กล่าวว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสูญเสียรายได้ไปกว่า 350 ล้านบาท นอกจากนี้ ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางอากาศยังสูญเสียรายได้กว่า 25,000 ล้านบาท โดยยังไม่รวมความเสียหายของสายการบินต่าง ๆ อีกจำนวนหนึ่งก่อนหน้านี้ ในเดือนสิงหาคม ผู้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ปิดท่าอากาศยานภูเก็ตและท่าอากาศยานกระบี่ รวมทั้งปิดการเดินทางทางรถไฟสายใต้เพื่อกดดันให้นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ลาออกมาแล้ว
ต่อมาสหภาพยุโรป (อียู) ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกไปจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองอย่างสงบ และกล่าวว่าการชุมนุมประท้วงกำลังทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหายอย่างมาก แถลงการณ์จากเอกอัครราชทูตอียูประจำประเทศไทยยังได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมแก้ไข วิกฤตการณ์ทางการเมืองในไทยอย่างสันติ เคารพในกฎหมาย และสถาบันประชาธิปไตยของประเทศ และอียูเคารพสิทธิในการประท้วงและปราศจากการแทรกแซงปัญหาการเมืองภายในของไทย แต่เห็นว่าการกระทำของกลุ่มผู้ประท้วงในครั้งนี้เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งยังเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาของนานาประเทศ
ภายหลังจากมีคำวินิจฉัยคดียุบพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลอีก 2 พรรค อันเนื่องมาจากกรณีทุจริตการเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ในวันรุ่งขึ้นแกนนำพันธมิตรฯ ได้ประกาศยุติการชุมนุมทั้งที่ทำเนียบรัฐบาล ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง
สาเหตุที่นำมาสู่การชุมนุม

ภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ผลปรากฏว่า พรรคพลังประชาชนได้รับเลือกตั้งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ ซึ่งทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ กลุ่มพันธมิตรฯ ก็ไม่ได้จัดการชุมนุมใด ๆ ขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เข้ามาทำงานบริหารประเทศ โดยมีเงื่อนไขว่ารัฐบาลนายสมัครต้องไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและสื่อสารมวลชนทั้งทางตรงหรือทางอ้อม รวมทั้งไม่กระทำผิดเหมือนยุครัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชเข้ามาบริหารประเทศได้ระยะเวลาหนึ่ง ทางกลุ่มพันธมิตรฯ เห็นว่า รัฐบาลชุดนี้ได้แทรกแซงการสื่อสารมวลชน รวมทั้งกระบวนการยุติธรรม เช่น การย้ายนายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่กำลังดำเนินคดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัว ให้พ้นตำแหน่งอย่างเร่งด่วน และย้าย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ซึ่งมีความใกล้ชิดกับครอบครัวชินวัตร มารักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ การโยกย้ายอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และรัฐบาลยังประกาศอย่างชัดเจนว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2550 ในมาตรา 237 และมาตรา 309 ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา รวม 164 คน ได้ยื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันพุธที่ 21 พฤษภาคม ซึ่งทางกลุ่มพันธมิตรฯ เห็นว่า การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการหลบเลี่ยงการกระทำความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งที่จะนำไปสู่การยุบพรรคและต้องการยุบคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ เพื่อตัดตอนคดีความที่กำลังดำเนินต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ครอบครัวและพวกพ้อง ไม่ให้เข้าสู่การพิจารณาของศาล ตลอดจน ทำให้กระบวนการตรวจสอบนักการเมืองอ่อนแอลงจนไม่สามารถตรวจสอบฝ่ายการเมืองได้
นอกจากนี้ ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ยังเห็นว่าได้เกิดขบวนการคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง เช่น กรณีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาเทเวศน์ ของ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ เพื่อขับไล่ให้ออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรี และจาบจ้วงอย่างเสียหาย อีกทั้งรัฐบาลให้มีรัฐมนตรีบางคนที่มีทัศนคติเป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาเข้าร่วมบริหารงานในรัฐบาล จึงถือเป็นภัยต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างยิ่ง
ดังนั้น อดีตแกนนำของกลุ่มพันธมิตรฯ จึงมีมติฟื้นสภาพโครงสร้างการบริหารงานของกลุ่มขึ้นอีกครั้ง เพื่อเตรียมชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร และมีมติให้เคลื่อนไหวครั้งที่ 1 โดยการจัดสัมมนารายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน ภาคพิเศษ” ในวันที่ 28 มีนาคม และอีกครั้งในรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน ภาคพิเศษ ครั้งที่ 2” ในวันศุกร์ที่ 25 เมษายน ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และประกาศจัดการชุมนุมใหญ่ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม เป็นต้นไป
สถานที่หลักในการชุมนุม

สะพานมัฆวานรังสรรค์

หลังจากการประกาศชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ทางกลุ่มพันธมิตรฯ มีมติที่จะเคลื่อนมวลชนไปหน้าทำเนียบรัฐบาลและปักหลักชุมนุมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเรียกร้องและกดดันให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะแสดงความรับผิดชอบต่อความคิดที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยเหลือคนในระบอบทักษิณ และการบริหารประเทศที่ผิดพลาด แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าปิดกั้นไม่ให้กลุ่มพันธมิตรฯ เคลื่อนไหวชุมนุมที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลได้ ทำให้กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องเปลี่ยนมาชุมนุมบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดำเนินนอก แทน โดยมีการตั้งเวทีและปิดการจราจรบางส่วน เพื่อรักษาความปลอดภัยของกลุ่มพันธมิตรฯ จากฝ่ายต่อต้านซึ่งเข้ามาก่อความวุ่นวาย ซึ่งการปิดการจราจรในครั้งนี้มีประชาชนได้รับผลกระทบและร้องเรียนมายังกองบังคับการตำรวจจราจรเป็นจำนวนมาก โดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้กล่าวถึงการที่กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องมาปักหลักบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์แทนทำเนียบรัฐบาลว่า "เมื่อ 50 กว่าปีก่อน ตอนผมเรียนนักเรียนนายร้อยอยู่นานถึง 5 ปี ผมต้องเดินแถวอยู่บนถนนนี้ทั้งเช้าและเย็น ดังนั้น พวกตำรวจไม่รู้หรอกว่าผมรู้จักถนนนี้เป็นอย่างดี ผมจึงว่าสะพานมัฆวานฯ นั้นเป็นทำเลที่ดีกว่าทำเนียบรัฐบาลมาก" 

กลุ่มพันธมิตรฯ ชุมนุมใหญ่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2551
หลังการชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ผ่านไปได้ 5 วัน ในวันที่ 30 พฤษภาคม กลุ่มพันธมิตรฯ ได้ยกระดับการชุมนุมจากการชุมนุมเพื่อต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการขับไล่รัฐบาลสมัครแทน เช้าวันต่อมา นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีว่าจะทำการสลายการชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุม บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ แต่ในที่สุดก็ไม่มีการสลายการชุมนุม
กลุ่มพันธมิตรฯ ปักหลักชุมนุมอยู่ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์อยู่จนถึงวันที่ 20 มิถุนายน จึงได้เคลื่อนการชุมนุมไปยังบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 7 กรกฎาคม ศาลแพ่งได้ตัดสินให้กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องเปิดเส้นทางการจราจรบริเวณถนนพิษณุโลกและถนนพระราม 5 ดังนั้น กลุ่มพันธมิตรฯ จึงได้ย้ายเวทีและที่ชุมนุมไปเป็นที่เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์เช่นเดิม โดยรูปแบบการชุมนุมจะคล้ายกับการชุมนุมขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกจากตำแหน่ง แต่ครั้งนี้ได้หันเวทีปราศรัยไปยังพระบรมรูปทรงม้า

หน้าทำเนียบรัฐบาล

หลังจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรผ่านไปได้ 27 วัน ข้อเรียกร้องต่าง ๆ ของกลุ่มพันธมิตรฯ ยังไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลนายสมัคร ดังนั้น กลุ่มพันธมิตรฯ จึงประกาศเคลื่อนการชุมนุมไปยังทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 20 มิถุนายน โดยจะไม่เข้าไปในทำเนียบรัฐบาลและใช้แนวสันติวิธีปราศจากอาวุธ
การเคลื่อนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ในครั้งนี้ ใช้ชื่อว่า "ยุทธการสงคราม 9 ทัพ" มีผู้เข้าร่วมการชุมนุมประมาณ 25,000 คน โดยกลุ่มพันธมิตรฯ สามารถฝ่าแนวสกัดกั้นของตำรวจผ่านไปได้และเข้ายึดพื้นที่การชุมนุมบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จ โดยได้ตั้งเวทีปราศรัยบริเวณแยกนางเลิ้ง 
อย่างไรก็ตาม การเดินทางมาชุมนุมบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น มีการปิดถนนบริเวณ ถนนพระราม 5 บริเวณแยกเบญจมบพิตร ถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกนางเลิ้งจนถึงแยกพาณิชยการ ซึ่งกลุ่มอาจารย์โรงเรียนราชวินิตมัธยมได้ยื่นคำร้องต่อศาลให้กลุ่มพันธมิตรเปิดเส้นทางการจราจร ทำให้ศาลแพ่งตัดสินให้กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องเปิดเส้นทางการจราจรบริเวณถนนพิษณุโลกและถนนพระราม 5 เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ดังนั้น กลุ่มพันธมิตรฯ จึงตัดสินใจย้ายเวทีและที่ชุมนุมกลับไปเป็นที่บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ดังเดิม

สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย

กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลโดยในวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551 กลุ่มพันธมิตรฯได้เดินทางไปยังสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยและทำการบุกรุกด้วยการพังประตูโดยให้เหตุผลว่าต้องการทวงคืนสื่อของรัฐที่ทำหน้าที่ไม่เป็นกลางโดยมี นายวัชระ เพชรทอง เป็นแกนนำ โดยในเวลา 8.30น. สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยจำเป็นต้องงดออกอากาศเนื่องจากกลุ่มพันธมิตรกดดันให้ดำเนินการงดออกอากาศโดยเจ้าหน้าที่ในสถานีรายงานว่ามีการใช้อาวุธปืนสั้นในการบังคับครั้งนี้ด้วย  และในวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551 กลุ่มพันธมิตร พิษณุโลก ได้เคลื่อนไหวกดดันสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยเพื่อให้ยกเลิกรายการความจริงวันนี้ที่ออกอากาศในขณะนั้น

[แก้]ทำเนียบรัฐบาล


ทำเนียบรัฐบาลระหว่างการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

กลุ่มผู้ชุมนุมรวมตัวกันหน้าป้ายประกาศจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ ภรรยา
กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลขั้นสูงสุดอีกครั้งโดยการใช้ "ปฏิบัตการไทยคู่ฟ้า" เพื่อเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล โดยให้เหตุผลในการเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลในครั้งนี้ว่า ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ถือว่ารัฐบาลหมดความชอบธรรมแล้ว จึงไม่ต้องมีการประชุมคณะรัฐมนตรีอีกต่อไป
การบุกยึดทำเนียบรัฐบาลเริ่มตั้งแต่เช้ามืดของวันที่ 26 สิงหาคม และเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จในวันเดียวกันนั้นเอง ซึ่งกลุ่มพันธมิตรจะใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นสถานที่ชุมนุมตลอดไปจนกว่าจะได้รับชัยชนะ ตั้งแต่มีการทำเนียบรัฐบาลในครั้งนี้ทำให้รัฐบาลไม่สามารถเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีภายในทำเนียบรัฐบาลได้จวบจนสมัยของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ต่อมา ศาลแพ่งได้มีคำสั่งชั่วคราวให้กลุ่มพันธมิตรฯ รื้อถอนเวทีปราศรัยและสิ่งกีดขวางอื่นๆ ออกจากทำเนียบรัฐบาล และเปิดถนนพิษณุโลก ถนนราชดำเนินทุกช่องการจราจร  อย่างไรก็ตาม แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ โดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ยกคำสั่งคุ้มครองของศาลชั้นต้นดังกล่าว ทำให้กลุ่มพันธมิตรฯ ยังคงใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นสถานที่ชุมนุมต่อไปจนกระทั่งกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ประกาศยุติการชุมนุมเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม

[แก้]ท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

ภายหลังการเข้ายึดท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งใช้เป็นที่ทำการทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 24-25 พฤศจิกายน กลุ่มพันธมิตรฯ ได้ใช้ท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นสถานที่ชุมนุมนอกเหนือจากบริเวณทำเนียบรัฐบาล จนกระทั่ง วันที่ 1 ธันวาคม พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณทำเนียบรัฐบาลย้ายการชุมนุมไปที่ท่าอากาศยานทั้งสองแทน เนื่องจากการต่อสู้ที่ท่าอากาศยานทั้ง 2 แห่งได้ผลมากกว่าการปักหลักที่ทำเนียบรัฐบาลและมีความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนมากกว่า รวมทั้งเพื่อเปิดเส้นทางเสด็จฯ เนื่องในงานเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันที่ 5 ธันวาคม กลุ่มพันธมิตรฯ ใช้พื้นที่ชุมนุมบริเวณท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจนกระทั่งประกาศยุติการชุมนุมในวันที่ 3 ธันวาคม
กลยุทธ์ในการชุมนุม

ยุทธศาสตร์ดาวกระจาย


พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคลื่อนขบวนไปที่กระทรวงการต่างประเทศ
กลุ่มพันธมิตรฯ มีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์เป็น "ยุทธศาสตร์ดาวกระจาย" หรือ "แผนสู้รบดาวกระจาย" โดยจัดกลุ่มมวลชน ประมาณ 100-200 คน แยกย้ายไปยังสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งนายสุริยะใส กตะศิลา กล่าวถึงสาเหตุที่พันธมิตรฯ ต้องจัดกลุ่มมวลชนไปยังที่ต่าง ๆ ว่า เพราะบางครั้งการดำเนินการเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ล่าช้าจนเกินไป โดยเฉพาะขั้นตอนก่อนส่งศาลถือได้ว่า ความยุติธรรมที่ล่าช้า คือ ความอยุติธรรม แต่อะไรที่ตรงข้ามกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตำรวจจะดำเนินการเร็วมา
ยุทธศาสตร์ดาวกระจายนี้กลุ่มพันธมิตรฯ เคยใช้มาตั้งแต่การชุมนุมในปี พ.ศ. 2549 ซึ่งนับเป็นกลไกหนึ่งของการบริหารจัดการ เพื่อให้ผู้ชุมนุมมีการเคลื่อนไหวบ้าง ไม่ให้รู้สึกว่านิ่งเกินไป เงื่อนไขหลักของยุทธศาสตร์ดาวกระจายอยู่ที่การควบคุมผู้ชุมนุม ซึ่งเป็นเรื่องประสบการณ์ที่กลุ่มพันธมิตรฯ เคยพิสูจน์มาแล้วในการเคลื่อนม็อบเมื่อปี 49 โดยไม่มีการปะทะหรือต้องเสียเลือดเนื้อ
กลุ่มพันธมิตรฯ เริ่มใช้ยุทธศาสตร์ดาวกระจายในการชุมนุมครั้งนี้เมื่อวันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน โดยนายสุริยะใส กตะศิลา และผู้ร่วมชุมนุมประมาณ 300 คน ได้เดินทางไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด แล้วยื่นจดหมายถึงนายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด เพื่อยื่นหนังสือทวงถามความคืบหน้าการสั่งฟ้องคดีทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมพรรคพวก นอกจากนี้ ยังได้เคลื่อนขบวนมุ่งหน้าสู่กระทรวงมหาดไทย เพื่อยื่นหนังสือถึง ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ดูแลและแก้ปัญหาของประชาชนมากกว่าการโต้ตอบทางการเมือง  ซึ่งการดาวกระจายครั้งนี้เป็นไปตามคำแนะนำจากนักธุรกิจและนักวิชาการที่เข้าร่วมกับพันธมิตรฯ ว่า ต้องมีการเคลื่อนไหวกดดันเพื่อทวงถามความคืบหน้าในคดีที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะเกรงว่าจะมีความล่าช้าจนเกิดการแทรกแซงในกระบวนการยุติธรรม โดยมีตัวอย่างให้เห็นแล้ว คือ กรณีของนายสุนัย มโนมัยอุดมเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) และอดีตอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งถูกนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นสั่งโยกย้าย เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ยุทธการสงคราม 9 ทัพ


เส้นทางการเคลื่อนขบวนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจากสะพานมัฆวานรังสรรค์เข้าสู่ทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2551
ในการเคลื่อนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ไปยังบริเวณทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนนั้น กลุ่มพันธมิตรฯ ได้ใช้ชื่อการเคลื่อนการชุมนุมครั้งนี้ว่า "ยุทธการสงคราม 9 ทัพ" โดยได้กำหนดให้เคลื่อนกลุ่มผู้ชุมนุมไปใน 9 เส้นทาง โดยใช้ถนนรอบทำเนียบรัฐบาล ได้แก่
  • จุดที่ 1 - 3 อยู่ที่บริเวณพื้นที่การชุมนุมสะพานมัฆวานรังสรรค์
  • จุดที่ 4 - 5 เลียบคลองผดุงกรุงเกษม
  • จุดที่ 6 แยกนางเลิ้ง
  • จุดที่ 7 ถนนด้านข้างกระทรวงศึกษาธิการเข้ามาจากแยกตึกแดง
  • จุดที่ 8 เส้นทางเข้ามาจากลานพระบรมรูปทรงม้า
  • จุดที่ 9 เข้ามาจากเส้นทางวัดเบญจมบพิตร
ซึ่งการเคลื่อนกลุ่มผู้ชุมนุมในแต่ละจุดนั้น แกนนำพันธมิตรฯ ได้แก่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ จะประจำอยู่ตามแต่ละจุดซึ่งไม่มีการเปิดเผยและจะใช้วิธีการรุกคืบไปเป็นระยะ ๆ โดยกำหนดเวลาการเคลื่อนขบวนของกลุ่มผู้ชุมนุมในแต่ละจุดจะไม่การกำหนดเวลาที่ตายตัว แต่จะปล่อยให้เป็นอิสระของแกนนำแต่ละจุดที่จะเป็นผู้กำหนดและตัดสินใจเอง 
กลุ่มพันธมิตรฯ เริ่มเคลื่อนขบวนปิดล้อมที่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ หน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อขับไล่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช  ซึ่งขบวนผู้ชุมนุมภายใต้การควบคุมของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง สามารถฝ่าการสกัดกั้นของตำรวจเข้ายึดพื้นที่แยกนางเลิ้งสำเร็จ พร้อมประกาศจะเคลื่อนขบวนเข้าพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลในส่วนขบวนของนายสมศักดิ์ โกศัยสุข ได้เคลื่อนขบวนถึงบริเวณแยกวังแดงใกล้คุรุสภา ด้าน นปก. ได้นำกลุ่มผู้ชุมนุมของตนและกลุ่มจักรยานยนต์ปักหลักชุมนุมที่ ถนนราชดำเนินนอกหวังกดดันให้กลุ่มพันธมิตรฯ ยุติการปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ขณะที่การจราจรบริเวณรอบถนนราชดำเนินนอกเป็นอัมพา เวลาต่อมา ขบวนของนายสมศักดิ์ โกศัยสุขสามารถฝ่าด่านของตำรวจที่สกัดไว้บริเวณแยกมิสกวันและมุ่งหน้านำกลุ่มผู้ชุมนุมไปสมทบกับกลุ่มของพลตรีจำลองที่แยกนางเลิ้งจนสำเร็จ จนกระทั่ง เวลาประมาณ 15.30 น. พันธมิตรจึงประกาศชัยชนะในการยึดพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จ

ปฏิบัติการไทยคู่ฟ้า


ผู้ชุมนุมที่บุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551
การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ในการเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม นั้นใช้ชื่อว่า "ปฏิบัติการไทยคู่ฟ้า" โดยแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศว่าปฏิบัติการครั้งนี้เป็นสงครามครั้งสุดท้ายไม่ชนะไม่เลิก ซึ่งเวลาในการเคลื่อนขบวนนั้นจะไม่ระบุจนกว่าอีก 1 ชั่วโมงจะเคลื่อนขบวน โดยได้เตรียมทัพหน้า ทัพหลวง ทัพน้อย และ ทัพพิสดาร เอาไว้ และการปฏิบัติการครั้งนี้จะใช้เวลาไม่เกิน 1 วัน แต่หากไม่สำเร็จก็ได้เตรียมแผนสำรองไว้แล้ว 
สำหรับปฏิบัติการไทยคู่ฟ้า แกนนำพันธมิตรฯ ได้แบ่งมวลชนออกเป็นหลายส่วน โดยแกนนำพันธมิตรฯ ส่วนหนึ่งได้ใช้ยุทธศาสตร์ดาวกระจายโดยนำมวลชนกระจายไปตามสถานที่ต่างๆ ได้แก่ สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และอีกส่วนหนึ่งจะอยู่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์และโดยรอบทำเนียบรัฐบาล ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้เริ่มเข้าปิดล้อมบริเวณรอบทำเนียบรัฐบาล ทั้งด้านถนนพิษณุโลกและฝั่งกระทรวงศึกษาธิการ ด้านสะพานอรทัย บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐและด้านสะพานเทวกรรมรังรักษ์ ตั้งแต่เช้ามืด และปิดล้อมประตูเข้า-ออกทำเนียบรัฐบาลทั้ง 8 ประตู ในช่วงบ่ายกลุ่มผู้ชุมนุมได้พังประตูเหล็กด้านตรงข้ามกระทรวงศึกษาธิการและทยอยเดินเท้าจากสะพานมัฆวานรังสรรค์เข้าไปรวมตัวกันบริเวณสนามหญ้าด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งผู้ชุมนุมบางส่วนได้ปีนเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาลทางสะพานชมัยมรุเชษด้วย หลังจากนั้น แกนนำพันธมิตรฯ ที่เคลื่อนขบวนโดยใช้ยุทธศาสตร์ดาวกระจายเริ่มทะยอยเข้าสู่ทำเนียบและประกาศชัยชนะที่สามารถเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จ

ปฏิบัติการม้วนเดียวจบ

แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ มีมติให้จัดการชุมนุมใหญ่อีกครั้งโดยเรียกว่า ม้วนเดียวจบ ปฏิบัติการเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน โดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้ขึ้นเวทีขอแรงจากกลุ่มผู้ชุมนุมให้เดินทางมายังทำเนียบรัฐบาลในเวลา 04.00 น. เพื่อจะกระจายตัวไปตามที่ต่าง ๆ ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งยังไม่เป็นที่เปิดเผยว่าจะให้ทำอะไรบ้าง แต่ก่อนหน้านั้นได้มีผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งเดินทางไปยังสนามบินดอนเมือง และเข้ายึดพื้นที่ของสนามบินเพื่อไม่ให้คณะรัฐมนตรีใช้สถานที่เป็นที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้
ต่อมาในวันที่ 25 พฤศจิกายน กลุ่มพันธมิตรฯ ประมาณ 1,000 คน เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวเข้าสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อกดดันให้นายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลาออกจากตำแหน่ง โดยมีการตั้งแถวสกัดกั้นของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 200 - 300 นาย แต่เนื่องจากเจ้าหน้าที่เกรงว่าจะเกิดความรุนแรงจึงได้ถอยร่นมาเรื่อย ๆ จนถึงตัวอาคารและทำการชุมนุมอยู่ด้านนอกอาคารผู้โดยสาร ผู้ชุมนุมได้ทยอยเดินทางเข้ามาสมทบมากขึ้นประมาณ 20,000 คน ทำให้การเดินทางทางอากาศไปสู่ท่าอากาศยานนานาชาติอื่น ๆ ต้องหยุดลงและสายการบินที่มีกำหนดลงจอด ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิต้องไปลงจอด ณ ท่าอากาศยานอู่ตะเภาแทน
นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศหยุดทำการบินเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน หลังจากนั้น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตพื้นที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง พร้อมกันนี้ได้ออกคำสั่งปลด พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เนื่องจากไม่สามารถจัดการกับการชุมนุมได้และแต่งตั้ง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติเป็นผู้รักษาการแทน
ต่อมา พลตรี จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ออกหนังสือเปิดผนึกถึงนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ชุมนุมอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับการขึ้นลงของเครื่องบิน ขอให้เปิดท่าอากาศยานและทำการบิน โดยการปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลการขึ้นลงเครื่องบินและดูแลรักษาความปลอดภัยของเครื่องบินเป็นพื้นที่ความรับผิดชอบของนายเสรีรัตน์
นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์มติชน ยังรายงานว่า แกนนำพันธมิตรฯ ได้เรียกชื่อปฏิบัติการในครั้งนี้ว่า "ปฏิบัติการฮิโระชิมะ" (26 พฤศจิกายน) และในวันรุ่งขึ้น (27 พฤศจิกายน) เรียกว่า "ปฏิบัติการนะงะซะกิ" ด้วยเช่นกัน


อ้างอิง  จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น