ยินดีต้อนรับคะ blogger นี้ เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 0012006 อินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กบฏแมนฮัตตัน

กบฏแมนฮัตตัน ชื่อเรียกเหตุการณ์การกบฏในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เมื่อทหารเรือกลุ่มหนึ่ง นำโดย น.ต.มนัส จารุภา รน. ทำการกบฏจี้ตัวจอมพล ป. พิบูลสงคราม ระหว่างเป็นประธานในพิธีรับมอบเรือขุดสันดอนสัญชาติอเมริกัน ชื่อ แมนฮัตตัน ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร โดยนำไปกักขังไว้ในเรือหลวงชื่อ "ศรีอยุธยา" ที่จอดรออยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา
หัวหน้าคณะก่อการ คือ น.อ. อานนท์ บุญฑริกธาดา รน. สั่งการให้ทหารเรือกลุ่มที่สนับสนุนการก่อการมุ่งหน้าและตรึงกำลังไว้ที่พระนคร และประกาศตั้ง พระยาสารสาสน์ประพันธ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม กระจายเสียงในฐานะนายกรัฐมนตรีจากในเรือ แต่ทางฝ่ายรัฐบาลไม่ยอม ได้กระจายเสียงตอบโต้ไปโดยใช้วิทยุของกรมการรักษาดินแดน (ร.ด.) โดยได้ให้นายวรการบัญชา ประธานสภาผู้แทนราษฎรรักษาการณ์นายกรัฐมนตรีแทน และตั้งกองบัญชาการขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล (ในขณะนั้นคือ พระที่นั่งอนันตสมาคม) จึงเกิดการต่อสู้ยิงกันอย่างหนักระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาลและทหารฝ่ายก่อการ มีการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินแบบ Spitfire และ T6 ใส่เรือหลวงศรีอยุธยาที่อยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา จนกระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. ของวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เรือก็จม จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถูกทหารเรือที่อยู่บนเรือนำว่ายน้ำหลบหนีออกมาได้ โดยการกบฏครั้งนี้นับว่าเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย เพราะสถานที่ต่าง ๆ เสียหาย และมีผู้บาดเจ็บล้มตายนับร้อยทั้งทหารของทั้ง 2 ฝ่าย และประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ภายหลังเหตุการณ์ผู้ก่อการได้แยกย้ายกันหลบหนีไปพม่าและสิงคโปร์
น.ต.มนัส จารุภา รน. ผู้ทำการจี้จอมพล ป. ได้หลบหนีไปพม่าได้สำเร็จ แต่ถูกจับกุมได้หลังจากลักลอบกลับเข้าประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2495
เหตุการณ์สิ้นสุดลงด้วยการจับกุมผู้ต้องหาร่วม 1,000 คน ปล่อยตัวเพราะหาหลักฐานไม่เพียงพอจนเหลือฟ้องศาลประมาณ 100 คน ภายหลังนักโทษคดีนี้ส่วนใหญ่ได้รับการนิรโทษกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2500 เนื่องในโอกาสครบ 25 พุทธศตวรรษ ในส่วนของกองทัพเรือ แม้ทหารที่ก่อการจะไม่ใช่ทหารระดับสูงและทหารเรือส่วนใหญ่ก็ไม่เกี่ยวข้องด้วย กระนั้น ต่อมา พล.ร.อ.สินธุ์ กมลนาวิน ผู้บัญชาการทหารเรือก็ยังต้องโทษตัดสินจำคุกนานถึง 3 ปี โดยที่ไม่มีความผิด และได้มีการปรับลดอัตรากำลังพลของกองทัพเรือลงไปมาก โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เช่น ยุบกรมนาวิกโยธินกรุงเทพ ยุบกองการบินกองทัพเรือไปรวมกับกองทัพอากาศ ย้ายกองสัญญาณทหารเรือที่ถนนวิทยุ ที่ต่อมากลายเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งในปัจจุบันคือที่ตั้งของ สวนลุมไนท์บาซ่าร์ นั่นเอง
อ้างอิง http://th.wikipedia.org/wiki/กบฏแมนฮัตตัน

ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ (พ.ศ.2519-ปัจจุบัน)

ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบที่เกิดขึ้นในช่วงพ.ศ.2519 – ปัจจุบัน มีลักษณะดังนี้ คือ ในบางช่วงเวลาผู้ปกครองไม่มีการใช้รูปแบบวิธีการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และมีเนื้อหาและมีเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน ในบางช่วงเวลาผู้ปกครองมีการสร้างสรรค์ประชาธิปไตยที่มีเนื้อหา สาระ เป้าหมาย หรือใช้รูปแบบวิธีการในระดับหนึ่งแต่ยังไม่บรรลุจุดมุ่งหมายที่แท้จริง ในบางช่วงเวลาผู้ปกครองมุ่งเน้นแต่เนื้อหาโดยไม่ให้ความสำคัญกับรูปแบบวิธีการ หรือในบางช่วงเวลาผู้ปกครองมุ่งเน้นวิธีการโดยไม่ให้ความสำคัญกับเนื้อหา เป้าหมาย หรือจุดมุ่งหมายที่แท้จริง และในบางช่วงเวลามีเหตุการณ์ทางการเมืองที่ส่งผลกระทบให้การพัฒนาประชาธิปไตยต้องหยุดชะงักลง
เมื่อพิจารณาหลักกว้าง ๆ ที่ว่าประชาธิปไตยเป็นแนวความคิดทางการเมืองอย่างหนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วยรูปแบบวิธีการและเนื้อหาสาระของการปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชน และของประชาชน ก็จะพบว่าแนวความคิดของรัฐบาล ชนชั้นนำ คณะนายทหาร และฝ่ายการเมืองต่าง ๆ ในแต่ละสมัยของไทย มีลักษณะและระดับของความเป็นประชาธิปไตย โดยเปรียบเทียบแตกต่างกัน ดังนี้
ในช่วงสมัยสั้น ๆ ของรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียรกับคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในพ.ศ. 2519 นั้น ปราศจากรูปแบบวิธีการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและมีเนื้อหาเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน แม้จะมีการกล่าวถึงความประสงค์ที่จะสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ทำให้ยุคนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นระบบเผด็จการ รวมไปถึงการเป็นรัฐบาลขวาจัด รัฐประหารในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 โดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินภายใต้การนำของพล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ได้เชิญนายธานินทร์ กรัยวิเชียรมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คณะปฏิรูปได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญพ.ศ.2517 ยกเลิกรัฐสภาและการเลือกตั้ง ยุบพรรคการเมือง และประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวพ.ศ.2519 รัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียรมิได้มีโครงการที่จะให้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่โดยเร็ว เพราะในรัฐธรรมนูญชั่วคราวพ.ศ.2519 มีการระบุในบทเฉพาะกาลถึงแผนการที่จะให้ประเทศไทยใช้เวลาผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตยนานถึง 12 ปี ทั้งนี้เพราะเชื่อว่าประชาชนยังไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตย จึงวางขั้นตอนไปสู่ประชาธิปไตยเป็น 3 ขั้นตอน กล่าวคือ ในขั้นตอน 4 ปีแรก เป็นระยะที่สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินซึ่งมาจากการแต่งตั้งเป็นผู้ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน ในระยะ 4 ปีที่สองจะเปิดให้มีประชาธิปไตยมากขึ้น โดยมีสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งและมีวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง โดยให้ทั้ง 2 สภามีอำนาจควบคุมการบริหารอย่างเท่าเทียมกัน ในระย 4 ปีสุดท้ายจึงจะให้อำนาจสภาผู้แทนราษฎรมากขึ้นและลดอำนาจวุฒิสภาลง ต่อจากนั้นเมื่อราษฎรตระหนักในหน้าที่และความรับผิดชอบของตนที่มีส่วนร่วมในการเมืองระบอบประชาธิปไตยดีแล้ว ก็อาจยกเลิกวุฒิสภาให้เหลือแต่สภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้ระบุถึงวิธีการเปลี่ยนแปลงของรัฐหรือกำหนดวาระอำนาจบริหารที่ชัดเจน ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลนายธานินทร์สามารถบริหารประเทศได้ต่อไปเรื่อย ๆ
ในสมัยของรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์และรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ภายใต้รัฐธรรมนูญพ.ศ.2521 ได้ปรากฎรูแบบวิธีการตามระบอบประชาธิปไตย คือ มีรัฐธรรมนูญ กฎหมายเลือกตั้ง พรรคการเมืองระบบรัฐสภา และการถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจ เป็นต้น และมีเนื้อหาของการสร้างสรรค์ความเป็นประชาธิปไตยทางการเมืองในระดับหนึ่ง ดังจะเห็นได้จากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2521 และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 แต่ก็ยังไม่บรรลุเป้าหมายความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ในขณะที่คณะนายทหารหนุ่มเล็งผลปฏิบัติในเนื้อหาโดยมีเป้าหมายเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ที่ด้อยโอกาสและมีปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่ไม่ไห้ความสำคัญกับรูปแบบวิธีการใด กลุ่มทหารประชาธิปไตยกลับหวังจะสร้างสรรค์ทางด้านรูปแบบวิธีการและเนื้อหาเป้าหมายซึ่งเน้นในด้านการพัฒนาทางการเมืองเป็นหลัก นับตั้งแต่ยุคประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ 2521 เป็นต้นมา รัฐบาลมีข้ออ้างสำหรับความชอบธรรมในระดับหนึ่งว่า การปกครองในระบอบนี้เป็นของประชาชน กล่าวคือ รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและมีรัฐสภาทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติ อีกทั้งได้ดำเนินการปกครองเพื่อประชาชน เช่น ข้ออ้างที่ว่า “เพื่อความเป็นประชาธิปไตย” ตั้งแต่สมัยรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร และเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนในชนบทของรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์และรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งไม่บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย แต่ปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลถูกวิจารณ์เสมอ คือ ระบอบการปกครองนี้ยังมิได้เป็นไปโดยประชาชนอย่างแท้จริง เพราะถูกควบคุมอยู่ภายใต้หลักการรัฐนิยมเพื่อจุดมุ่งหมายสูงสุด คือ ความมั่นคงแห่งชาติบนพื้นฐานที่มีกองทัพเป็นสถาบันหลัก ไม่ใช่ประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งประชาชนมิได้ทำการปกครองด้วยตนเองอย่างแท้จริง
ในสมัยรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ถือว่าเป็นประชาธิปไตยมากกว่ารัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เนื่องจากมีรูปแบบที่ใกล้เคียงกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยมากกว่า ทั้งนี้เป็นเพราะว่าพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกลายเป็นหัวหน้าพรรคเสียงข้างมาก ดังนั้นจึงได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลผสม ซึ่งในสมัยนี้ทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเกือบทั้งหมดมาจากการเลือกตั้ง จึงสอดคล้องกับระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยมากกว่ารัฐบาลชุดก่อนอย่างน้อยก็ในแง่รูปแบบ แต่สิ่งที่รัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณได้รับการวิพากษ์วิจารณ์คือ รัฐบาลชุดนี้เกิดสภาวะการเล่นพรรคเล่นพวก ทำให้กลุ่มธุรกิจซึ่งมีความสัมพันธ์กับศูนย์อำนาจกอบโกยผลประโยชน์ในทางธุรกิจอย่างเร่งรีบและกว้างขวาง รัฐบาลชุดนี้คงความเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยได้ไม่นาน เนื่องจากความขัดแย้งที่สั่งสมมาระหว่างคณะรัฐบาลและฝ่ายกองทัพ รวมไปถึงการขยายบทบาทของนายทหารรุ่นที่ 5 สถานการณ์ดังกล่าวโน้มนำไปสู่การคุกคามต่อระบอบประชาธิปไตย นั่นก็คือ เกิดการรัฐประหาร โดยที่คณะนายทหารที่เรียกตนเองว่า คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ได้ยึดอำนาจโค่นล้มรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ
ในสมัยของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติและรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน ภายหลังการยึดอำนาจ รสช.ได้แต่งตั้งให้นายอานันท์ ปันยารชุนเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ ในประกาศของคณะรสช.ฉบับที่ 3 กำหนดให้รัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ.2521 สิ้นสุดลง พร้อมกับสถาบันรัฐสภา จากนั้นได้มีการประกาศใช้ธรรมนูญชั่วคราว 23 มาตราขึ้น ซึ่งไม่มีบทบัญญัติใดที่กล่าวถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และมีมาตรา 18 ที่กำหนดให้สภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ซึ่งก็คือ คณะนายทหารที่ยึดอำนาจทำหน้าที่ดูแลการบริหารบ้านเมือง และมาตรา 27 ที่ให้อำนาจอย่างไม่จำกัดแก่นายกรัฐมนตรีและประธานสภารสช. เพื่อป้องกัน ระงับหรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อย หรือความมั่นคงแห่งชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน นอกจากนี้ยังให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นซึ่งต่อมาได้นำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติ และกลายเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์ให้แก่คณะทหาร เช่น การเปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง หรือให้ประธานคณะรสช.เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงได้รับฉายาว่าเป็นฉบับร่างทรงรสช.ต่อมาภายหลังการเลือกตั้ง พล.อ.สุจินดา คราประยูรได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี และได้กลายเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดการชุมนุมประท้วงต่อต้านของประชาชน จนนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดที่เรียกกันว่า เหตุการณ์พฤษภาทมิฬในพ.ศ.2535 ในช่วงเวลานี้จึงถือว่าการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยหยุดชะงักลง
รัฐบาลนายชวน หลีกภัยในสมัยที่ 1 และในสมัยที่ 2 เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนในระดับล่าง (แม้ว่ารัฐบาลจะมีบทบาทในการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปทางการเมืองก็ตาม) โดยรัฐบาลมักใช้วิธีการปราบปรามประชาชนผู้มาชุมนุมประท้วงในเรื่องความเดือดร้อนต่าง ๆ ซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นรัฐบาลที่ไม่ให้ความสำคัญกับภาคประชาชนโดยเฉพาะประชาชนระดับล่าง ซึ่งถูกโจมตีว่าเป็นรัฐบาล “วัวลืมตืน” จากการปฏิบัติต่อชาวนา และถูกโจมตีว่าเป็นรัฐบาล “อุ้มคนรวยไม่ช่วยคนจน” เพราะจับกุมและฟ้องร้องผู้นำภาคประชาชน และการใช้นโยบายที่แล้งน้ำใจต่อคนจน แต่ในขณะเดียวกันกลับทุ่มเงินค้ำจุนกองทุนฟื้นฟูสถาบันการเงิน ตัวอย่างการคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในสมัยรัฐบาลชวน 1 เช่น เหตุการณ์ในพ.ศ.2536 เกิดปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ชาวนาได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก จึงเกิดการประท้วงของชาวนาภาคกลางในหลายจังหวัด รัฐบาลได้สั่งปราบปรามชาวนาที่กำแพงเพชรเพราะชาวนามาล้อมศาลากลางและปิดถนน รัฐบาลส่งกำลังตำรวจเข้าสลายจนชาวนาเสียชีวิต 1 คน และการคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในสมัยรัฐบาลชวน 2 เช่น เหตุการณ์ในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2541 ภายหลังจากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐบาลเพียง 2 เดือน ก็เกิดเหตุการณ์ที่รัฐบาลส่งตำรวจเข้าปราบปรามและทุบตีคนงานของโรงงานไทยซัมมิทออโตพาทที่ถนนบางนา-ตราด ในข้ออ้างที่ว่าคนงานประท้วงปิดถนนขวางเส้นทางการจราจร ส่วนการปราบปรามผู้ประท้วงของรัฐบาลที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากคือ เหตุการณ์ในวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ.2542 ฝ่ายรัฐบาลปล่อยให้ตำรวจปล่อยสุนัขมากัดชาวไร่มันสำปะหลังจากจังหวัดนครราชสีมาที่มาประท้วงอยู่หน้าทำเนียบ ทำให้ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บหลายคน และกลายเป็นที่มาของกรณี “หมากัดม็อบ” นอกจากนี้รัฐบาลยังได้ใช้กำลังเข้าจัดการกับกลุ่มชาวบ้านที่ต่อต้านโครงการเขื่อนปากมูลซึ่งบุกปืนเข้ามาในทำเนียบในวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2543 โดยการกวาดต้อนกลุ่มผู้ชุมนุม รื้อเต้นท์ ทำลายเครื่องกระจายเสียง และจับกุมชาวบ้านปากมูลจำนวน 202 คน ในวันอาสาฬบูชา จนหนังสือพิมพ์ข่าวสดพาดหัวข่าวว่า “ชวนทมิฬปราบคนจนวันพระ”
รัฐบาลพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตรเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและได้รับคะแนนเสียงเป็นจำนวนมากมาย พรรคไทยรักไทยได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นรัฐบาลถึง 2 ครั้ง ติดต่อกันด้วยยคะแนนเสียงท่วมท้น เพราะการยอมรับของประชาชนในระดับล่างที่มีต่อพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร และกลายเป็นรัฐบาลที่เข้มแข็งมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย เมื่อเข้าสู่ช่วงรัฐบาลทักษิณ 2 ได้เริ่มเข้าสู่วิกฤตการณ์ทักษิณ อันมีสาเหตุมาจากปัจจัยหลายประการรวมกัน ประเด็นหนึ่งที่รัฐบาลพันตำรวจโททักษิณถูกโจมตีนอกเหนือไปจากเรื่องความไม่โปร่งใสในการบริหารราชแผ่นดินและการขาดจริยธรรมทางการเมืองแล้ว ก็คือประเด็นเรื่องการแทรกสื่อและองค์กรอิสระ แต่ก็ยังไม่รุนแรงเท่ากับเรื่องการปล่อยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าปราบปรามประชาชนครั้งใหญ่ในภาคใต้ในสมัยที่ประชาธิปไตยของไทยมีการพัฒนาและเติบโตขึ้นมากแล้ว คือ ในเหตุการณ์กรือเซอะ รัฐบาลปล่อยให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารตำรวจสังหารประชาชนผู้ต้องสงสัยถึง 105 คน โดยเฉพาะการสังหารที่มัสยิดกรือเซอะ จังหวัดปัตตานี และที่อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา หลังจากนั้นก็คือ กรณีตากใบ ที่ใช้กำลังปราบปรามประชาชนที่กำลังชุมนุมกันที่หน้าอำเภอตากใบ และจับกุมประชาชนจำนวน 1,298 คนไปสอบสวน แต่ภาวะการขนส่งที่ขาดความระมัดระวังทำให้ประชาชนเสียชีวิตถึง 85 คน จึงทำให้รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องการก่อความรุนแรงในภาคใต้ โดยใช้วิธีทางการทหารปราบปรามประชาชนโดยไม่จำแนก อันทำให้สถานการณ์ร้ายแรงขยายตัวออกไป ซึ่งกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลในสมัยประชาธิปไตยมาก โดยเฉพาะในเรื่องการละเมิด สิทธิ และเสรีภาพของประชาชน และท้ายที่สุดจากวิกฤตการณ์ทักษิณที่เกิดขึ้นในกรณีต่าง ๆ ได้นำไปสู่กระแสการต่อต้านของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยภายใต้การนำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล โดยเรียกร้องให้ “ทักษิณออกไป” และต่อมาประชาธิปไตยต้องหยุดชะงักลงอีกครั้ง เมื่อกลุ่มทหารที่ไม่พอใจรัฐบาลพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ที่เรียกตนเองว่า คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) ได้ก่อการยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาล
ในสมัยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คมช.) และรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ คณะทหารภายใต้การนำของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ได้ยึดอำนาจจากรัฐบาลพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นเพราะสังคมแตกแยก เกิดกรณีทุจริต และสถานการณ์ที่หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ภายหลังการยึดอำนาจคมช.ได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่กล่าวกันว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา เพราะผ่านการทำประชาพิจารณ์และการแสดงความคิดเห็นของประชาชน จนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้รับการเรียกขานว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ซึ่งจะเน้นความเป็นประชาธิปไตย การมีส่วนร่วมของประชาชน ความโปร่งใสทางการเมือง และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างสันติวิธี ต่อมาคมช.แต่งตั้งให้พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับในแวดวงทหาร อีกทั้งเป็นองคมนตรีและมีบุคลิกที่ประนีประนอม ทั้งนี้เพื่อจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่และจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 1 ปี และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เกิดขึ้นมานี้ คือ รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งยังคงเป็นที่โต้เถียง วิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องจากหลายฝ่ายจนมาถึงในปัจจุบันให้มีการแก้ไขเนื้อหาในบางมาตราของรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้การยึดอำนาจของคมช.ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทำให้การพัฒนาประชาธิปไตยของไทยหยุดชะงักลง ทั้งที่ ๆ ก่อนหน้านี้ประเทศไทยอุตส่าห์ผ่านกระบวนการปฏิรูปการเมือง
ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่างอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองอันสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร และก่อนที่พรรคประชาธิปปัตย์จะจัดตั้งรัฐบาลนั้น ประเทศไทยตกอยู่ในช่วงเวลาที่นักวิชาการเรียกกันว่ายุคตุลาการภิวัตน์ ซึ่งตุลาการมีบทบาทสำคัญต่อการเมืองไทยกล่าวได้ว่า ภาวะทางการเมืองในช่วงสามรัฐบาลที่ผ่านมานี้ มีการเผชิญหน้าและต่อสู้กันในรูปแบบต่าง ๆ และแต่ละฝ่ายต่างก็ละเมิดกติกาประชาธิปไตยจนนำไปสู่การบาดเจ็บหรือการสูญเสียชีวิตของประชาชน
เส้นทางการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยในช่วงเวลา 76 ปี เต็มไปด้วยอุปสรรคความยากลำบากต่าง ๆ แม้ว่าประชาชนจะมีความตื่นตัวในเรื่องประชาธิปไตยและมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น แต่ประชาชนจำนวนมากก็ยังไม่เข้าใจหรือตระหนักถึงความเป็นเจ้าของประเทศและอำนาจของตนอย่างแท้จริง นอกจากนี้บทเรียนในอดีตยังชี้เห็นว่าปัญหาหลักของการพัฒนาประชาธิปไตยไทยในด้านหนึ่งมาจากชนชั้นนำของไทยที่ยังไม่ตื่นตัวและตามไม่ทันกระบวนการประชาธิปไตย อีกทั้งยังยึดมั่นในอำมาตยาธิปไตย ส่งผลทำให้การรัฐประหารเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ในอีกด้านหนึ่งชนชั้นนำของไทยที่เข้ามามีบทบาทในทางการเมืองมุ่งเน้นแต่วิธีการตามระบอบประชาธิปไตย โดยไม่ให้ความสำคัญกับเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายปลายทางที่แท้จริงของประชาธิปไตย จึงทำให้การพัฒนาประชาธิปไตยต้องชะงักลงในบางขณะ

อ้างอิง http://www.kpi.ac.th/wiki/index.php/ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ 

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กบฏวังหลวง

กบฏวังหลวง ชื่อเรียกการกบฏที่เกิดขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 เกิดขึ้นโดยนายปรีดี พนมยงค์นำกองกำลังส่วนหนึ่งจากประเทศจีนร่วมกับคณะนายทหารเรือ และอดีตเสรีไทยกลุ่มหนึ่ง เรียกตัวเองว่า"ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์" นำกำลังยึดพระบรมมหาราชวังและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นกองบัญชาการ (จึงเป็นที่มาของชื่อกบฏในครั้งนี้) ในเวลาประมาณ 16.00 น. โดยเรียกปฏิบัติการครั้งนี้ว่า "แผนช้างดำ-ช้างน้ำ" จากนั้นในเวลา 21.00 น. ประกาศถอดถอน รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และนายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายนาย และได้ประกาศแต่งตั้ง นายดิเรก ชัยนาม ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน โดยที่นายดิเรกมิได้มีส่วนรู้เห็นอันใดกับการกบฏครั้งนี้ และแต่งตั้ง พลเรือโท สินธุ์ กมลนาวิน เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ในส่วนของนายปรีดีที่หลบหนีออกจากประเทศไปตั้งแต่การรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ได้แอบเดินทางกลับมาโดยปลอมตัวเป็นทหารเรือและติดหนวดปลอมปะปนเข้ามาพร้อมกับกลุ่มกบฏ แต่มีผู้พบเห็นและจำได้
ซึ่งความจริงแล้ว ทางฝ่ายรัฐบาลก็รู้ตัวก่อนล่วงหน้าว่าอาจมีเหตุเกิดขึ้นได้ เพราะ จอมพล ป.ก่อนหน้านั้นได้พูดทิ้งท้ายไว้เป็นนัยทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยว่าไว้ถึง 2 ครั้ง เช่น "เลือดไทยเท่านั้น ที่จะล้างเมืองไทยให้สะอาดได้" เป็นต้น และได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไว้ล่วงก่อนถึง 3 วันเกิดเหตุ รวมทั้งได้มีการฝึกซ้อมรบด้วยกระสุนจริงของทหารบกที่ตำบลทุ่งเชียงราก จังหวัดปทุมธานี ซึ่งหนังสือพิมพ์ได้ขนานนามการซ้อมรบครั้งนั้นว่า "การประลองยุทธ์ที่ตำบลทุ่งเชียงราก"
ในระยะแรก ฝ่ายกบฏดูเหมือนจะเป็นฝ่ายได้ชัยชนะ เพราะสามารถยึดสถานที่สำคัญและจุดยุทธศาสตร์ไว้ได้หลายจุด แต่ทว่าตกค่ำของคืนวันนั้นเอง ทหารฝ่ายรัฐบาลก็ตั้งตัวติดและสามารถยึดจุดยุทธศาสตร์กลับคืนมาได้ อีกทั้งกองกำลังทหารเรือฝ่ายสนับสนุนกบฏจากฐานทัพเรือสัตหีบก็ติดอยู่ที่ท่าน้ำบางปะกง เพราะน้ำลดขอดเกินกว่าปกติ แพขนานยนต์ไม่สามารถที่จะลำเลียงอาวุธและกำลังคนข้ามฟากไปได้ เมื่อน้ำขึ้นก็เป็นเวลาล่วงเข้ากลางคืน กองกำลังทั้งหมดมาถึงพระนครในเวลา 2 ยาม ถึงตอนนั้นฝ่ายกบฏก็เพลี่ยงพล้ำต่อรัฐบาลแล้ว
จุดที่มีการปะทะกันระหว่างทหารบกฝ่ายรัฐบาล และทหารเรือฝ่ายกบฏ เช่น ถนนวิทยุ, ถนนพระราม 4, ถนนสาทร, สี่แยกราชประสงค์ มีการยิงกระสุนข้ามหลังคาบ้านผู้คนในละแวกนั้นไปมาเป็นตับ ๆ มีผู้ได้บาดเจ็บกันทั้ง 2 ฝ่าย
พล.ต.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ - ยศในขณะนั้น) ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการปราบปราม มีการสู้รบกันในเขตพระนครอย่างหนักหน่วง โดย พล.ต.สฤษดิ์เป็นผู้ยิงปืนจากรถถังทำลายประตูวิเศษไชยศรีของพระบรมมหาราชวังพังทลายลง จนในที่สุด เวลาเย็นของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ทั้ง 2 ฝ่ายก็หยุดยิง เมื่อรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้และปราบปรามฝ่ายกบฏได้สำเร็จ นายปรีดี พนมยงค์ ต้องหลบหนีออกนอกประเทศอีกครั้ง และหลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน ได้มีการสังหารบุคคลสำคัญทางการเมืองลงหลายคน เช่น พ.ต.อ. บรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พ.ต. โผน อินทรทัต ผู้อำนวยการโรงงานยาสูบและอดีตเสรีไทย รวมทั้งการสังหาร 4 อดีตรัฐมนตรีที่ถนนพหลโยธิน กิโลเมตรที่ 11 คือนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายถวิล อุดล นายจำลอง ดาวเรือง และนายทองเปลว ชลภูมิ ซึ่งเป็นนักการเมืองในสายของนายปรีดี พนมยงค์ เป็นต้น
อ้างอิง จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

กบฏพระยาทรงสุรเดช


กบฏพระยาทรงสุรเดช หรือ กบฏ 18 ศพ หรือ กบฏ พ.ศ. 2481 เป็นเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2482 เนื่องจากความขัดแย้งระหว่าง หลวงพิบูลสงคราม กับพระยาทรงสุรเดช ตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 การสนับสนุนพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เหตุการณ์ครั้งกบฏบวรเดช และเหตุการณ์พยายามลอบสังหารหลวงพิบูลสงครามติดต่อกันหลายครั้ง (ลอบยิง 2 ครั้ง วางยาพิษ 1 ครั้ง)

สาเหตุ

เมื่อหลวงพิบูลสงคราม ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี สืบต่อจากพระยาพหลพลพยุหเสนา เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 พระยาทรงสุรเดช ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการโรงเรียนรบ จังหวัดเชียงใหม่ ได้นำนักศึกษาไปฝึกภาคสนามที่จังหวัดราชบุรี ได้ถูกคำสั่งให้พ้นจากราชการโดยไม่มีเบี้ยหวัดบำนาญ และบังคับให้เดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งก็คือเขมรโดยทันที พร้อมด้วยร้อยเอกสำรวจ กาญจนสิทธิ์ ทส. ประจำตัว
ได้มีการกวาดล้างโดย พันเอกหลวงอดุลยเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจ และรัฐมนตรีมหาดไทย จับตายนายทหารสายพระยาทรงสุรเดช 3 คน จับกุมผู้ที่ต้องสงสัย จำนวน 51 คน เมื่อเช้ามืด ของวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2482 ประกอบด้วย 

นักโทษประหาร

หลวงพิบูลสงครามได้จัดตั้งศาลพิเศษขึ้นพิจารณาคดีเป็นการเฉพาะ มีพันเอกหลวงพรหมโยธี เป็นประธาน ศาลพิเศษนี้ได้ตัดสินว่า มีการเตรียมการยึดอำนาจโดย พันเอกพระยาทรงสุรเดช เป็นผู้นำ และตัดสินลงโทษประหารชีวิตนักโทษ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2482 จำนวน 21 คน
ศาลพิเศษตัดสินปล่อยตัวพ้นข้อหาจำนวน 7 คน จำคุกตลอดชีวิตจำนวน 25 คน โทษประหารชีวิตจำนวน 21 คน แต่ให้เว้นการประหาร คงเหลือโทษจำคุกตลอดชีวิต 3 คน เนื่องจากเคยประกอบคุณงามความดีให้กับประเทศชาติ คือ
  1. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร
  2. พลโท พระยาเทพหัสดิน
  3. พันเอก หลวงชำนาญยุทธศิลป์

การลงโทษ

นักโทษการเมืองหมดถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำบางขวางโดยนักโทษประหารชีวิต ถูกทยอยนำตัวออกมาประหารด้วยการยิงเป้าวันละ 4 คน จนครบจำนวน 18 คน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ กบฏ 18 ศพ จนถึงทุกวันนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าผู้ถูกลงโทษทั้งหมด มีผู้ใดกระทำผิดจริงหรือไม่ เพราะถูกตัดสินโดยศาลพิเศษ ที่บรรดาผู้พิพากษาคือผู้ที่รัฐบาลแต่งตั้ง และไม่มีทนายจำเลยตามหลักยุติธรรม กบฏพระยาทรงสุรเดช คือการกบฎที่รัฐบาลประกาศว่าเป็นทั้งๆที่ไม่ได้มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไร นอกจากเหตุการณ์ที่เป็นข่าวเกิดกับหลวงพิบูลสงคราม3ครั้งดังกล่าวข้างต้น จึงมีความชัดเจนว่าอุบัติการนี้สร้างขึ้นเพื่อหาเรื่องกำจัดบุคคลที่หลวงพิบูลสงครามเห็นว่าน่าจะเป็นศัตรูของตนเท่านั้น
นักโทษการเมืองที่เหลือได้รับอภัยโทษ เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2487 เมื่อนายควง อภัยวงศ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อจากหลวงพิบูลสงครามที่หมดอำนาจลงก่อนจะสื้นสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนพระยาทรงสุรเดชถึงแก่กรรมอย่างยากไร้ในเขมร

อ้างอิง จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พ.ศ. 2553

การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พ.ศ. 2553 เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553 มีเป้าหมายเรียกร้องให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่ ต่อมา รัฐบาลใช้มาตรการทางทหารเข้ากดดันกลุ่มผู้ชุมนุม จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ และมีผู้บาดเจ็บมากกว่า 2,100 คน จากนั้น อภิสิทธิ์ประกาศแผนปรองดอง ซึ่งผู้ชุมนุมมีข้อเรียกร้องเพิ่มเติม การชุมนุมจึงดำเนินต่อไป และอภิสิทธิ์ก็ประกาศยกเลิกวันเลือกตั้งใหม่ตามแผนปรองดอง ก่อนจะใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม จนกระทั่ง แกนนำ นปช. ประกาศยุติการชุมนุมในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
การชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2552 เนื่องจากผู้ชุมนุมมีข้อสงสัยว่ากองทัพไทยอยู่เบื้องหลังการยุบพรรคพลังประชาชนพร้อมทั้งจัดตั้งรัฐบาลผสม ที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ ในปีต่อมา นปช. ประกาศจะเริ่มการชุมนุมเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553 อภิสิทธิ์จึงเพิ่มมาตรการรักษาความมั่นคงอย่างมาก รวมทั้งเข้มงวดกับการตรวจพิจารณาสื่อมวลชนและอินเทอร์เน็ต ตลอดจนสั่งปิดสถานีโทรทัศน์ และสถานีวิทยุที่ดำเนินงานโดยกลุ่มผู้ชุมนุม อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวไม่สามารถยับยั้งกลุ่มผู้ชุมนุมมิให้เดินทางเข้ามายังกรุงเทพมหานครได้
ผู้ชุมนุมส่วนมากเดินทางมาจากต่างจังหวัด แต่ก็มีชาวกรุงเทพมหานครส่วนหนึ่งเข้าร่วมการชุมนุมเช่นกัน การชุมนุมเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ถือเป็นการชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยโดยในช่วงแรก การชุมนุมเกิดขึ้นที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศบนถนนราชดำเนินและเป็นไปโดยสงบ กลุ่มผู้ชุมนุมใช้มาตรการต่าง ๆ เช่น การเดินขบวนรอบกรุงเทพมหานคร การรวบรวมเลือดไปเทที่หน้าประตูทำเนียบรัฐบาล หน้าที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ และหน้าบ้านพักอภิสิทธิ์เพื่อกดดันรัฐบาล จากนั้นมีการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับผู้ชุมนุมสองครั้ง ได้ข้อสรุปว่าจะมีการยุบสภา แต่ไม่สามารถสรุปวันเวลาได้ โดยทั้งก่อนและระหว่างการชุมนุม มีการยิงลูกระเบิดชนิดเอ็ม-79 หลายสิบครั้ง แต่ก็ไม่สามารถหาตัวผู้กระทำมาลงโทษได้แม้แต่คนเดียว ความตึงเครียดเพิ่มมากขึ้นเมื่อเข้าสู่เดือนเมษายน กลุ่มผู้ชุมนุมปิดการจราจรที่แยกราชประสงค์ รวมทั้งสร้างแนวป้องกันในบริเวณโดยรอบ วันที่ 8 เมษายน อภิสิทธิ์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดยห้ามการชุมนุมทางการเมืองเกินกว่าห้าคนขึ้นไป และในวันที่ 10 เมษายน กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 24 ศพ มีช่างภาพชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตรวมอยู่ด้วย 1 คน และทหารเสียชีวิต 5 นาย ตลอดจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกมากกว่า 800 คน สื่อไทยเรียกการสลายการชุมนุมดังกล่าวว่า "เมษาโหด"วันที่ 14 เมษายน แกนนำประกาศรวมที่ชุมนุมไปยังแยกราชประสงค์เพียงแห่งเดียว วันที่ 22 เมษายน เหตุปาระเบิดมือทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน และได้รับบาดเจ็บอีก 86 คน กลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนบุกเข้าไปในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เพื่อหาตัวผู้ลงมือ แต่หาไม่พบ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ในภายหลังชี้ว่าโรงพยาบาลอาจเป็นแหล่งของผู้ลงมือ แต่ไม่มีการจับกุมผู้กระทำแต่อย่างใด เมื่อวันที่ 28 เมษายน ระหว่างที่ผู้ชุมนุมจากแยกราชประสงค์ กำลังเดินทางไปให้กำลังใจกลุ่มผู้ชุมนุมที่ตลาดไท ย่านรังสิต ชานกรุงเทพมหานคร แต่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารตั้งแนวขวางกั้น กลางถนนวิภาวดีรังสิต จนเกิดการปะทะกัน โดยมีทหารเสียชีวิต 1 นาย ในเหตุการณ์นี้
อภิสิทธิ์เสนอแนวทางปรองดอง เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ซึ่งเสนอให้จัดการเลือกตั้งใหม่ แต่อภิสิทธิ์ก็ยกเลิกข้อเสนอดังกล่าวไปเอง หลังจากที่แกนนำ นปช. ยื่นข้อเรียกร้องให้รองนายกรัฐมนตรี สุเทพ เทือกสุบรรณ เข้ามอบตัวกับตำรวจ แม้จะมีท่าทียอมรับในระยะแรกก็ตาม ต่อมา รัฐบาลสั่งการให้กำลังทหารเข้าล้อมพื้นที่แยกราชประสงค์ ด้วยกำลังรถหุ้มเกราะและพลซุ่มยิง ในระหว่างวันที่ 14-18 พฤษภาคม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 41 ศพ และบาดเจ็บกว่า 250 คน ซึ่งกองทัพอ้างว่า พลเรือนถูกยิงโดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายหรือไม่ก็ถูกยิงเพราะติดอาวุธ หรือถูกผู้ก่อการร้ายยิง และชี้ว่าผู้ก่อการร้ายบางคนแต่งกายในชุดทหาร ทหารเสียชีวิตนายหนึ่งเพราะถูกพวกเดียวกันยิง สื่อไทยเรียกการสลายการชุมนุมดังกล่าวว่า "พฤษภาอำมหิต" กองทัพได้ประกาศ "เขตใช้กระสุนจริง" โดยทุกคนที่พบเห็นในเขตดังกล่าวจะถูกยิง และเจ้าหน้าที่แพทย์ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ จนวันที่ 19 พฤษภาคม กำลังทหารเข้ายึดพื้นที่เป็นครั้งสุดท้าย จนถึงแยกราชประสงค์ จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเพิ่มขึ้นอีก แกนนำ นปช. ประกาศยุติการชุมนุม และยอมมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นผลให้ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งเกิดความไม่พอใจ จากนั้น เกิดการก่อจลาจลและวางเพลิงสถานที่หลายแห่งทั่วประเทศในช่วงค่ำ รัฐบาลประกาศห้ามออกจากเคหสถานในหลายจังหวัด และให้สถานีโทรทัศน์ทุกช่องนำเสนอรายการของรัฐบาลเท่านั้น โดยทหารได้รับคำสั่งให้ใช้อาวุธปืนยิง ผู้ที่ทำการปล้นสะดม วางเพลิง หรือก่อความไม่สงบได้ทันที ผู้ชุมนุมจำนวน 51 คนยังคงหายสาบสูญจนถึงวันที่ 8 มิถุนายน รัฐบาลอ้างว่าการประท้วงดังกล่าวจะต้องใช้เงินทุนถึง 150,000 ล้านบาท

เบื้องหลัง


เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุบ 3 พรรคการเมือง ซึ่งพรรคพลังประชาชนเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ซึ่งทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นอันต้องยุติลง อีกทั้งศาลยังตัดสินให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
การรายงานจากสื่อมวลชนบางแห่งว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้สนับสนุน หรือบีบบังคับ ให้ ส.ส.จำนวนหนึ่ง มาสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ โดย ส.ส.เหล่านั้น เป็นสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา ที่นำโดย สนั่น ขจรประศาสน์, พรรคภูมิใจไทย และกลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกพรรคพลังประชาชนบางส่วน สนับสนุนให้นายอภิสิทธิ์ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และชนะการลงมติให้เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551โดยมี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นคู่แข่ง จึงทำให้พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในสภา ต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน

การเตรียมการ

[แก้]ฝ่ายผู้ชุมนุม

วันที่ 8 มีนาคม นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ยืนยันว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะเข้าร่วมการชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพมหานครในวันที่ 14 มีนาคมนี้ อย่างแน่นอน โดยยึดหลักประชาธิปไตย ไม่สร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมือง โดยการชุมนุมครั้งนี้ยึดหลักสันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรง และได้วางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่างรัดกุม

[แก้]ฝ่ายรัฐบาล

วันที่ 11 มีนาคม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง พร้อมด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสนาธิการทหารบก พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังการประชุมกองอำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ ที่กองบัญชาการกองทัพบก
โดยได้นำชุดควบคุมฝูงชนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งชายและหญิง ชุดสายตรวจ ชุดสายตรวจ ชุดปฏิบัติการพิเศษ หรือหน่วยสวาท ชุดจู่โจมเคลื่อนที่เร็ว หรือชุดปะ ฉะ ดะ เพื่อให้ประชาชนรับทราบเจ้าหน้าที่ของตำรวจที่จะปฏิบัติหน้าที่ในช่วงประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง ระหว่างวันที่ 11-23 มีนาคม พ.ศ. 2553
นายสุเทพ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ที่จะดูแลความสงบเรียบร้อยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่ประกาศเป็นพื้นที่ความมั่นคง ซึ่งทุกคนไม่พกพาอาวุธ นอกจากอุปกรณ์ป้องกันตัว แต่จะมีเพียงชุดสายตรวจ ชุดปฏิบัติการพิเศษหรือหน่วยสวาท ชุดจู่โจมเคลื่อนที่เร็ว หรือชุด ปะ ฉะ ดะ ที่จะมีอาวุธติดตัว เพื่อปฏิบัติหน้าที่ โดยจะมีเครื่องหมายเลขชัดเจน
ทั้งนี้ ชุดแรกที่เข้าควบคุมฝูงชนที่เป็นผู้หญิงก็จะเป็นเจ้าหน้าที่ผู้หญิงและไม่มีอาวุธ ส่วนชุดควบคุมฝูงชนผู้ชายมีเพียงโล่ และกระบอง หากมีบุคคลอื่นแอบอ้างหรือแต่งเครื่องแบบทหาร นอกเหนือจากนี้จะจับดำเนินคดี สำหรับการถวายอารักขาที่บริเวณรอบโรงพยาบาลศิริราช จะอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้บัญชาการทหารเรือ และจะมีทหารเรือและทหารบกแต่งเครื่องแบบรักษาความสงบเรียบร้อย โดยใช้กำลังทั้งสิ้น 5 กองร้อย

[แก้]สถานที่ชุมนุมหลัก

[แก้]สะพานผ่านฟ้าลีลาศ

เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553 โดยเวทีตั้งอยู่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ และชุมนุมตลอดแนวถนนราชดำเนินกลางไปจนถึงลานพระราชวังดุสิต และในวันที่ 14 เมษายน ได้ยุบเวทีไปรวมกันที่แยกราชประสงค์ และเปิดเส้นทางจราจร เนื่องจากทางแกนนำไม่ต้องการให้เกิดการปะทะ และเป็นการคืนพื้นที่ให้ตามที่รัฐบาลเรียกร้อง

[แก้]แยกราชประสงค์

วันที่ 27 มีนาคม กลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนเคลื่อนไปยังแยกราชประสงค์ ย่านการค้าที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร เพื่อเลียนแบบการชุมนุมใหญ่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในปี พ.ศ. 2549 วันที่ 3 เมษายน มีการเคลื่อนขบวนมาปักหลักบริเวณแยกราชประสงค์ ซึ่งเต็มไปด้วยผู้ชุมนุมจำนวนมาก กระจายกันอยู่เต็มผิวจราจร ตั้งแต่แยกประตูน้ำ ด้านหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ต่อเนื่องไปจนถึงถนนราชดำริ โดยพิธีกรบนเวทีแจ้งว่า คืนนี้จะปักหลักชุมนุมข้ามคืน ที่แยกราชประสงค์

[แก้]ยุทธศาสตร์

[แก้]การเทเลือด

วันที่ 16 มีนาคม กลุ่มผู้ชุมนุมเจาะเลือดคนละ 10 ซีซี เพื่อที่จะนำไปเทยังสถานที่ต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 16.00 น. ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มเคลื่อนออกจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศ จนกระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมไปถึงทำเนียบรัฐบาล และเทเลือดบริเวณประตูของทำเนียบตั้งแต่ประตูที่ 2 ถึง 8 ต่อมาเวลา 18.45 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางมาถึงที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ และเข้าไปเทเลือดที่บริเวณหน้าบันไดทางขึ้นของที่ทำการพรรค ส่วนเลือดที่เหลืออีก 10 แกลลอนนั้นได้เทลงยังบริเวณด้านหน้าที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เสร็จสิ้นแล้วจึงเคลื่อนขบวนกลับไปยังสะพานผ่านฟ้าลีลาศตามเดิม
วันที่ 17 มีนาคม ช่วงเช้า เริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 11.50 น. ทางกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มเคลื่อนขบวนเพื่อที่จะไปเทเลือดบริเวณหน้าบ้านพักของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ซอยสุขุมวิท 31 โดยมี พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เป็นผู้คุมสถานการณ์ กลุ่มผู้ชุมนุมนำโดยอริสมันต์ พงษ์เรืองรองได้ฝ่าวงล้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ บุกไปถึงหน้าบ้านพักนายกรัฐมนตรี พร้อมเทเลือดกองบนพื้นถนนท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ผศ.จารุพรรณ กุลดิลก กล่าวสนับสนุนการเทเลือดในรายการพิเศษ "ฝ่าวิกฤตการเมือง ตอบคำถามคนของอนาคต" สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย ซึ่งออกอากาศในวันเดียวกัน เมื่อเวลา 16.00 - 17.00 น. ตอนหนึ่งว่า "เลือดเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้ที่มีมาแต่สมัยบรรพบุรุษ การเสียเลือดเสียเนื้อเป็นสิ่งที่สะเทือนใจ เพื่อไม่ให้บาดเจ็บล้มตายกันจริง ๆ เราก็ใช้สัญลักษณ์นี้เป็นตัวแทนการสละเลือดเพื่อชาติ"
ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์ Christian Sciene Monitor ของสหรัฐอเมริกา ได้จัดอันดับ 10 การประท้วงสุดพิสดาร ปรากฏว่า การเทเลือดของกลุ่ม นปช. ถูกจัดให้เป็นอันดับ 1 ของการประท้วงสุดพิสดาร

[แก้]ขบวนรถดาวฤกษ์


ขบวนรถของกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณสี่แยกคลองตัน
วันที่ 20 มีนาคม กลุ่มผู้ชุมนุมจัดขบวนรถจำนวนมาก โดยเคลื่อนขบวนไปรอบกรุงเทพมหานครตามเส้นทางสายสำคัญต่าง ๆ โดยทางแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงอ้างว่าตลอดทางมีประชาชนมาร่วมให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก โดยเริ่มตั้งแต่เวลา 10.00 น. จนกระทั่งสิ้นสุดเมื่อเวลา 18.00 น. กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ประเมินตัวเลขจำนวนผู้ชุมนุมในวันนี้ไม่น้อยกว่า 100,000 คน รถจักรยานยน ประมาณ 10,000 คัน และรถยนต์ประมาณ 7,000 คัน

การเคลื่อนขบวนทั่วกรุงเทพมหานคร

[แก้]การโกนผม

วันที่ 25 มีนาคม สุภรณ์ อัตถาวงศ์ พร้อมแกนนำคนอื่น อาทิ วันชนะ เกิดดี, เจ๋ง ดอกจิก รวมทั้งผู้ชุมนุมทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กที่สมัครใจได้ทำการโกนศีรษะเพื่อประท้วงนายกรัฐมนตรีและขับไล่รัฐบาล รวมทั้งทำพิธีสาปแช่งนายกรัฐมนตรี โดยมีอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงโกนผมให้สุพร ขณะที่พระสงฆ์ประมาณ 15 รูป โกนผมให้แก่ผู้ชุมนุม บนเวทีหลักสะพานผ่านฟ้าลีลาศ

[แก้]การเคลื่อนขบวนกดดันทหาร

วันที่ 27 มีนาคม คนเสื้อแดงได้เคลื่อนขบวนไปกดดันทหารให้ถอนกำลังกลับกรมกองตามจุดต่าง ๆ เอเอฟพีระบุว่ามีผู้เข้าร่วมชุมนุมประมาณ 80,000 คน

[แก้]การแห่ศพผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม

วันที่ 12 เมษายน เวลา 10.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้เคลื่อนขบวนแห่ศพผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมออกจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยขบวนประกอบด้วยรถยนต์บรรทุกโลงศพจำนวนทั้งสิ้น 17 คัน พร้อมด้วยขบวนรถจักรยานยนต์และผู้ชุมนุมที่เดินเท้าตาม ซึ่งผู้ชุมนุมได้นำธงชาติไทยมาคลุมโลงศพพร้อมรูปผู้เสียชีวิต

[แก้]ขอนแก่นโมเดล

วันที่ 21 เมษายน กลุ่มคนเสื้อแดงรวมตัวชุมนุมบริเวณสถานีรถไฟขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เพื่อสกัดไม่ให้ขบวนรถไฟลำเลียงทหาร อาวุธและยานพาหนะกว่า 20 โบกี้ออกจากสถานี เนื่องจากเกรงทหารจะเข้าร่วมสลายการชุมนุมในกรุงเทพมหานคร โดยในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553 ดวงแข อรรณนพพร เรืองเดช สุวรรณฝ่าย ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำในการตรวจค้นรถยนต์และปิดถนนมิตรภาพ
เมื่อวันที่ 25 เมษายน ความเคลื่อนไหวในรูปแบบ "ขอนแก่นโมเดล" ได้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ โดยที่จังหวัดอุดรธานี วิเชียร ขาวขำ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ได้เป็นแกนนำคนเสื้อแดงมาตั้งด่านสกัดเจ้าหน้าที่ตำรวจถึง 3 จุด โดยเฉพาะที่อำเภอโนนสะอาด โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องในกรุงเทพมหานคร ในขณะที่วิทยุชมรมคนรักอุดรก็ได้ประกาศเชิญชวนให้มาสกัดการเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ พร้อมให้เรียกระดมพลให้เข้าร่วมชุมนุมที่ราชประสงค์ ที่อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ก็มีการตั้งด่านของคนเสื้อแดงเช่นกัน โดยได้ตั้งด่านมาตั้งแต่คืนวันที่ 24 เมษายน นอกจากการตั้งด่านสกัดเจ้าหน้าที่แล้ว บรรดาคนเสื้อแดงยังได้มีการปล่อยลมยางรถทหารและรถตำรวจที่จะมีการเคลื่อนขบวนเข้ากรุงเทพมหานครด้วย โดยพบว่าส่วนใหญ่แล้วกลุ่มผู้ชุมนุมมีน้อยกว่าเจ้าหน้าที่

[แก้]การยกเลิกใส่เสื้อแดงชั่วคราว


กลุ่มผู้ชุมนุมแสดง ตีนตบ
วันที่ 24 เมษายน เวลา 18.00 น. วีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช. กล่าวบนเวทีปราศรัยว่าจะมีการปรับยุทธวิธีตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยยังยึดแนวทางที่สันติวิธี
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. ขอความร่วมมือจากกลุ่มคนเสื้อแดง
  1. ให้ถอดเสื้อสีแดง และวางสัญลักษณ์ของ นปช. จนกว่ารัฐบาลจะประกาศยุบสภา
  2. อาสาสมัครจักรยานยนต์ไปประจำด่าน ทั้ง 6 ด่าน จำนวนด่านละ 2 พันคัน
  3. ให้คนเสื้อแดงทั่วประเทศคอยสังเกตการณ์กองกำลังทหาร และตำรวจที่พยายามจะเข้ามาในกรุงเทพมหานคร หากพบให้ทำการขัดขวางอย่างสันติ
  4. ให้กลุ่มคนเสื้อแดงกระทำและปฏิบัติตัวอย่างใดก็ได้อย่างอิสระ
  5. ให้ทุกคนจับกลุ่มย่อยละ 5 คน แลกเบอร์โทรศัพท์มือถือ และทำความรู้จักกันไว้ เพื่อเป็นช่องทางติดต่อสื่อสารกัน
ณัฐวุฒิกล่าวอีกว่ามาตรการทั้งหมดนี้ เป็นมาตรการที่เตรียมไว้รับมือกับอภิสิทธิ์ เชื่อว่าภายใน 48 ชั่วโมงนี้ (24-26 เมษายน) อภิสิทธิ์ได้เตรียมการที่จะสลายการชุมนุม พร้อมทั้งเรียกร้องให้กลุ่มคนเสื้อแดงทั่วประเทศเดินทางเข้ามาชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์ เพื่อแสดงความไม่ต้องการรัฐบาลอำมาตย์

[แก้]การเผาสถานที่ราชการ

นปช. บางส่วนที่นิยมความรุนแรง (แดงฮาร์ดคอร์) ไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมได้เผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ศาลากลางจังหวัดอุดรธานีศาลากลางจังหวัดขอนแก่น ศาลากลางมุกดาหาร และเผาธนาคารกรุุงเทพ ปัจจุบันสามารถจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้แล้ว

[แก้]เหตุการณ์สำคัญ

[แก้]การเจรจาระหว่างรัฐบาลกับแกนนำ นปช.

[แก้]การปิดดี-สเตชัน

วันที่ 8 เมษายน หลังจากที่สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง มอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ไปแจ้งให้ไทยคมระงับการแพร่สัญญาณภาพและเสียงของดี-สเตชันทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมปักหลักชุมนุมอยู่ที่บริเวณสถานีไทยคม ที่ตั้งอยู่ถนนรัตนาธิเบศร์ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี และสถานีไทยคม ซึ่งตั้งอยู่ถนนสายลาดหลุมแก้ว-วัดเจดีย์หอย อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานีเพื่อเรียกร้องให้ยุติการระงับการเผยแพร่สัญญาณ
วันที่ 9 เมษายน กลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนไปยังสถานีไทยคม เพื่อเรียกร้องให้ยุติการระงับการเผยแพร่สัญญาณการออกอากาศของดี-สเตชันโดยได้มีการนำกองกำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตา ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมบุกเข้าไปในสถานีและกองทัพต้องถอนกำลังออกไป หลังจากที่มีการยืนยันว่าทางดี-สเตชันจะมีการออกอากาศอย่างแน่นอน กลุ่มผู้ชุมนุมจึงเคลื่อนขบวนกลับไปยังที่ตั้งทว่าหลังจากนั้นได้มีการระงับการออกอากาศอีกครั้งหลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่

[แก้]การสลายการชุมนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ


บรรยากาศการจุดเทียนและวางพวงมาลัย บริเวณที่เกิดเหตุ เพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในคืนวันที่ 10 เมษายน เมื่อวันที่ 11 เมษายน
วันที่ 10 เมษายน รัฐบาลได้นำกองกำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมของประชาชนบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยในเวลาประมาณ 13.00 น. เจ้าหน้าที่ได้ฉีดน้ำออกจากกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 และพยายามปิดประตู พร้อมขึงรั้วลวดหนาม นอกจากนี้มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ได้ใช้แก๊สน้ำตายิงด้วย
หลังจากนั้นจนถึงเวลาประมาณ 21.00 น. มีการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในบริเวณต่าง ๆ ใกล้กับที่ชุมนุม เช่น ถนนดินสอ ช่วงวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และถนนตะนาว ช่วงแยกคอกวัว ฝั่งเชื่อมต่อถนนข้าวสาร โดยมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 27 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 1,427 รายสื่อต่างประเทศรายงานว่าการสลายการชุมนุมดังกล่าวเป็นความรุนแรงทางการเมืองครั้งเลวร้ายที่สุดในกรุงเทพมหานครในรอบ 18 ปี

[แก้]การล้อมจับแกนนำผู้ชุมนุมที่โรงแรมเอสซีปาร์ค

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 16 เมษายน เจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยอรินทราช บุกเข้าปิดล้อมโรงแรมเอสซีปาร์ค เพื่อพยายามจับแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม ประกอบด้วยอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง, สุภรณ์ อัตถาวงศ์, พายัพ ปั้นเกตุ, ยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก และวันชนะ เกิดดี โดยอริสมันต์ได้โรยตัวออกทางระเบียง โดยมีกลุ่มผู้ชุมนุมกว่า 2,000 รายคอยให้ความช่วยเหลือ หลังจากนั้นนายอริสมันต์นำกลุ่มคนเสื้อแดงไปล้อมเจ้าหน้าที่อีกชั้น และชิงตัวแกนนำคนอื่น ๆ ออกมาได้ในที่สุด ซึ่งปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ครั้งนี้ทำให้ทางโรงแรมได้รับความเสียหายบางส่วน ขณะที่การจราจรโดยรอบต้องปิดไปโดยปริยาย

[แก้]การยิงระเบิด เอ็ม-79 ในย่านสีลม

เมื่อคืนวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553 ได้เกิดเหตุระเบิด 5 ครั้งบริเวณถนนสีลม โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ระหว่างที่กลุ่มผู้ชุมนุม นปช. รวมตัวการชุมนุมอยู่แยกศาลาแดงฝั่งถนนสีลม ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของตำรวจ โดยเสียงระเบิดดังขึ้น 3 ครั้ง ที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง เสียงระเบิดทำให้ประชาชนที่อยู่บนสถานีและกลุ่มต่อต้าน นปช. เกิดความโกลาหล ระเบิดลูกที่ 4 ได้ระเบิดขึ้นบริเวณหน้าโรงแรมดุสิตธานี ใต้ทางเดินลอยฟ้าเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส (สกายวอล์ก) ต่อมา เวลา 20.45 น. ระเบิดลูกที่ 5 ก็ระเบิดขึ้นที่หน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาศาลาแดง
เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นส่งผลให้ผู้บาดเจ็บทั้งหมด 87 คน สาหัส 3 คน โดยผู้บาดเจ็บถูกส่งไปรักษาตัวตามโรงพยาบาลต่าง ๆ โดยรอบบริเวณการชุมนุม มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ 3 คน ส่วนตัวสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดงนั้นได้รับความเสียหายบริเวณหลังคา และตัวรถไฟฟ้าได้รับความเสียหายบริเวณคอมเพรสเซอร์สำหรับระบบปรับอากาศ ทำให้ระบบปรับอากาศภายในตัวรถไฟฟ้าไม่ทำงาน

[แก้]การสลายขบวนบริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ

วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553 เมื่อเวลา 09.30 น. ขวัญชัย ไพรพนา แกนนำ นปช. ประกาศจะเคลื่อนขบวนไปยังตลาดไท เพื่อให้กำลังใจกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมอยู่ ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้มาถึงฐานทัพอากาศดอนเมือง ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปยังอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ทางกลุ่มได้หยุดเจรจากับเจ้าหน้าที่ที่ตั้งด่านสกัดอยู่ แต่ไม่เป็นผล เจ้าหน้าที่ได้ยิงกระสุนยางใส่จนกลุ่มผู้ชุมนุมถอยกลับมา
ต่อมา จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงยอดผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์บริเวณหน้าอนุสรณ์สถานแห่งชาติว่า จากรายงานของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติเบื้องต้น พบมีผู้บาดเจ็บ 16 ราย ในจำนวนนี้ 10 ราย ส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งมีสาหัส 1 ราย บาดเจ็บที่ช่องทองต้องเข้ารับผ่าตัด และอีก 3 ราย เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลแพทย์รังสิต ซึ่งก็มีสาหัส 1 รายที่ต้องผ่าตัดเช่นกัน เนื่องจากถูกยิงที่หน้าอก
สำนักข่าวต่างประเทศ เช่น ซีเอ็นเอ็นและบีบีซี รายงานเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและกลุ่มผู้ชุมนุม ที่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ โดยอ้างว่า เจ้าหน้าที่ศูนย์เอราวัณเปิดเผยมีจำนวนผู้ชุมนุมบาดเจ็บอย่างน้อย 16 รายระหว่างการปะทะกัน ขณะที่มีเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 1 ราย จากกระสุนปืนของทหารด้วยกัน

[แก้]การขอเข้าตรวจสอบโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553 พายัพ ปั้นเกตุ แกนนำ นปช. กล่าวว่าตนได้ไปตรวจสอบภายในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ อ้างว่าภายในตึกโรงพยาบาลมีกำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามและปืนซุ่มยิงอยู่ครบมือ หากไม่ถอนกำลังทหารออกไปให้หมดภายในคืนนี้ ตนพร้อมจะนำสื่อมวลชนและกลุ่มคนเสื้อแดงไปตรวจสอบที่โรงพยาบาลทันทีเพื่อไปขอพื้นที่โรงพยาบาลคืนให้กับประชาชนรวมทั้งในพื้นที่สวนลุมพินี มีเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 7 กองร้อยและในถนนสีลม ไม่ว่าจะเป็นตึกซีพี หรือธนาคารกรุงเทพ สาขาสีลมก็มีกำลังทหารจำนวนมาก ซึ่งภายหลังได้มีการยืนยันออกมาว่า ไม่ได้มีกำลังทหารตามที่ได้ถูกกล่าวอ้างแต่อย่างใด
เวลา 19.00 น. พายัพและกลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางไปถึงโรงพยาบาล เพื่อขอตรวจสอบตึกในโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม พายัพได้เจรจากับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจะให้การ์ดเดินแถวเรียงหนึ่งตรวจตึก แต่เมื่อเจ้าหน้าที่อนุญาตให้เข้าไป การ์ดเสื้อแดงกลุ่มใหญ่ได้กระจายเข้าค้นทั่วโรงพยาบาล
ด้านแกนนำ นปช. หลายคน เช่น เหวง โตจิราการ, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แถลงขอโทษเหตุการณ์ดังกล่าว ส่วนทางด้านพายัพ ปั้นเกตุ อ้างว่า จากการสังเกตการณ์หลายวัน พบว่ามีการเคลื่อนไหวของทหารในโรงพยาบาลจริง จึงต้องการเรียกร้องโรงพยาบาล และบริษัทเอกชนที่มีอาคารสูงรอบพื้นที่การชุมนุม อย่าให้เจ้าหน้าที่ทหารใช้พื้นที่หรือให้ที่พักพิง
ต่อมาวันที่ 2 พฤษภาคม มติแกนนำ นปช.เปิดสองฝั่งให้รถสามารถกลับรถหน้าโรงพยาบาลได้ พร้อมทั้งรื้อบังเกอร์เกาะกลางถนนในตอนบ่าย แต่ไม่ได้ถอยกลับไปที่แยกสารสินแต่อย่างใด

[แก้]การยิงระเบิด เอ็ม-79 ที่สวนลุมพินี และยิงปืนที่สีลม

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม เวลา 22.45 น. บริเวณแยกศาลาแดง เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนกราดยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนเฝ้าที่หน้าธนาคารกรุงไทย สาขาย่อย อาคารซูลิก เฮ้าส์ ถนนสีลม ทำให้กระจกหน้าธนาคารกรุงไทย ใกล้ตู้เอทีเอ็ม แตก 1 บาน มีรอยร้าว มีรูกระสุน 1 รู มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 ราย ทั้งหมดถูกนำส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าคนร้ายน่าจะขับขี่รถจักรยานยนต์ออกมาจากสีลม และคนซ้อนท้ายได้ใช้ปืนกราดยิง จากถนนฝั่งตรงข้าม บริเวณร้านแมคโดนัลด์ ก่อนจะขับรถหนีออกไปถนนพระรามที่ 4 อย่างไรก็ตาม รายการข่าวของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 รายงานว่า มือปืนได้ยิงกราดเข้ามาใส่บริเวณกลางจุดการชุมนุมของชาวสีลม ซึ่งมีประมาณ 20-30 คน ห่างจากร้านกาแฟโอบองแปงประมาณ 10 เมตร
เมื่อเวลาประมาณ 01.25 น. สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 รายงานว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 1 นาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 6 ราย ทั้งนี้ แกนนำ นปช. ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับเหตุที่เกิดขึ้น
เมื่อเวลา 01.30 น. ได้เกิดเหตุระเบิดที่บริเวณทางเข้าสวนลุมพินี ประตู 4 ถนนพระรามที่ 4 ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นด่านตรวจของตำรวจและทหาร จำนวน 3 ครั้ง เบื้องต้นคาดว่าเป็นชนิดเอ็ม 79 เบื้องต้นมีตำรวจได้รับบาดเจ็บ 4 ราย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เบื้องจากการตรวจสอบวิถีกระสุนในเบื้องต้น คนร้ายน่าจะยิงวิถีโค้ง ข้ามสะพานลอย น่าจะเป็นการยิงมาจากทางด้านแยกศาลาแดงเมื่อเวลา 05.00 น. พบเจ้าหน้าที่ 1 นายเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว

[แก้]การสลายการชุมนุม 13-19 พฤษภาคม

ระหว่างวันที่ 13-19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 รัฐบาลได้ส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธสงคราม และรถหุ้มเกราะ เข้าปิดล้อมพื้นที่การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ บริเวณแยกราชประสงค์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม ทั้งสิ้น 56 ศพ ในบรรดาผู้เสียชีวิตมีชาวต่างประเทศรวมอยู่สองศพและเจ้าหน้าที่กู้ชีพอีกสองศพ ได้รับบาดเจ็บ 480 คน และจนถึงวันที่ 8 มิถุนายน กลุ่มผู้ชุมนุมยังสูญหายอีกกว่า 51 คน หลังแกนนำผู้ชุมนุมเข้ามอบตัวกับตำรวจเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ได้เกิดเหตุเผาอาคารหลายแห่งทั่วประเทศ รวมทั้ง เซ็นทรัลเวิลด์ สื่อต่างประเทศบางแห่ง ขนานนามการสลายการชุมนุมดังกล่าวว่า "สมรภูมิกรุงเทพมหานคร"

[แก้]บุคคลที่เสียชีวิตและสูญหายในเหตุการณ์

ในระหว่างการชุมนุม เกิดการเข้าใช้กำลังอาวุธกับผู้ชุมนุมโดยกองทัพสามครั้ง จนมีผู้เสียชีวิตนับร้อยคน บาดเจ็บนับพันคน ดังนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงกลายเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้สั่งการให้ใช้กำลังอาวุธสงคราม เข้าสลายการชุมนุมทางการเมือง จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ไทย นับตั้งแต่หลัง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมาโดยมีข้อมูลปรากฏดังนี้

[แก้]ผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ

ในเหตุการณ์นี้มีประชาชนเสียชีวิตอย่างน้อย 28 ราย ในจำนวนนี้ เป็นชายไทยไม่ทราบชื่อ จำนวน 4 ราย และระบุชื่อได้จำนวน 23 ราย ทหารเสียชีวิต 5 ราย และชาวต่างประเทศเสียชีวิตอีก 1 ราย

ปฏิกิริยาของฝ่ายต่างๆ

[แก้]ฝ่ายรัฐบาล

ในวันที่ 15 เมษายน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวว่า หลังการชุมนุมผ่านมา 3 วันทุกอย่างเรียบร้อยปกติ ซึ่งผู้ชุมนุมมีการยื่นเวลาให้ตนยุบสภาภายใน 24 ชั่วโมง ตนได้เชิญหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลและผู้แทนพรรคร่วมรัฐบาลมาหารือซึ่งเห็นร่วมกันว่าไม่ควรมีการยุบสภาการย้ายมาชุมนุมที่แยกราชประสงค์สำนักนายกรัฐมนตรีได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนเพื่ออกมาตรการบังคับให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ถนนราชดำริ โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนฟังได้ว่าการกระทำของแกนนำทั้ง 5 และผู้ร่วมชุมนุมเป็นการปิดกั้นกีดขวางเส้นทางคมนาคมและการใช้ยานพาหนะของประชาชนทั่วไป ส่งผลกระทบต่อธุรกิจสำคัญ รวมทั้งเกิดความเดือดร้อนต่อการประกอบอาชีพ และการดำรงชีวิตของประชาชน จึงเป็นการจำกัดเสรีภาพการเดินทางของประชาชนที่จะใช้เส้นทางสาธารณะและกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพการชุมนุมที่เกินกว่าขอบเขตของรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ม.34 และ 63 บัญญัติไว้ ดังนั้นเมื่อ ผอ.รมน.โดย ผอ.ศอ.รส. รับมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่แทน ได้อาศัยอำนาจตาม มาตรา 18 พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ออกข้อกำหนดและข้อประกาศห้ามแกนนำทั้งห้าและผู้ชุมนุมทั้งหมดออกจากพื้นที่ที่ชุมนุมแล้ว ข้อกำหนดและประกาศดังกล่าวจึงมีสภาพบังคับอยู่ในตัว และเมื่อมีประกาศใช้แล้วย่อมมีผลบังคับได้ทันที ไม่จำเป็นต้องมาร้องขอให้ศาลออกคำบังคับตามข้อกำหนดดังกล่าวอีก ศาลจึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

[แก้]ฝ่ายสนับสนุนการชุมนุม

ในวันที่ 14 มีนาคม นายเพียร ยงหนู ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การไฟฟ้านครหลวง กล่าวว่ากองทัพต้องวางบทบาทอยู่บนหลักความถูกต้อง ยึดถือความยุติธรรม เพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้ สหภาพฯออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ไม่ให้นำกองกำลังทหารหลายกองร้อยออกปฏิบัติการเพื่อควบคุมฝูงชน เพราะจะเป็นการสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน และหากมีการใช้กำลังสลายการชุมนุมด้วยวิธีรุนแรง สหภาพฯจะเข้าร่วมต่อสู้กับประชาชนทันที
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน เมื่อวันที่ 9 เมษายน ว่าองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนออกแถลงการณ์ประณามการปิดกั้นสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมพีเพิลแชนแนลและเว็บไซต์ 36 เว็บไซต์ของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยระบุว่าการปิดกั้นสื่อมวลชนที่ทั้งเป็นกลางและสื่อที่มีความเห็นไปในทางเดียวกับฝ่ายค้าน ทำให้อาจเกิดความรุนแรงได้ เมื่อวันที่ 11 เมษายน นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บตามโรงพยาบาลต่างๆ โดยนายสมชาย กล่าวว่าขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
วันที่ 12 เมษายน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการปะทะกันของเจ้าหน้าที่ทหารและกลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นผู้ที่จะต้องรับผิดชอบมีคนเดียว คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นบุคคลที่ขาดสำนึกความเป็นผู้นำ ปฏิเสธที่จะเข้าใจถึงปัญหาของคนในชาติ ตนไม่เคยพบเห็นการใช้กำลังติดอาวุธเข้าปราบปรามประชาชน ไม่เคยเห็นความรุนแรง และกระทำอย่างขาดความสำนึกเช่นนี้
ในวันเดียวกันเวลา 19.30 น. นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่าขอให้กลุ่มคนเสื้อแดงเดินหน้าต่อสู้กันต่อไป วันนี้ถือว่าได้ประชาธิปไตยมาแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เต็มที่ทั้งหมด แต่ก็ถือว่าเป็นการต่อสู้ที่ประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง เหลือเพียงไม่นานก็จะประสบความสำเร็จ เพื่อประเทศชาติ เพื่อคนรุ่นหลังต่อไป
เมื่อเวลา 14.20 น. นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้แจกจ่ายแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ลงวันที่ 14 พฤษภาคมไปยังสื่อมวลชนแขนงต่างๆ โดยเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการดังต่อไปนี้
  1. ยุติการใช้เจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจ พร้อมอาวุธสงครามร้ายแรง ทำการสลายการชุมนุมของประชาชนโดยทันที และสั่งให้เจ้าหน้าที่กลับกรม กองที่ตั้ง
  2. ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินที่ประกาศในทุกจังหวัด โดยทันที
  3. เปิดการเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยทันทีเพื่อหาทางออกทางการเมือง โดยสันติวิธี
  4. ร่วมเจรจาหาแนวทางปรองดองอย่างแท้จริงกับทุกฝ่ายในชาติ เพื่อให้ประเทศชาติมีประชาธิปไตย และความยุติธรรม และประเทศเดินหน้าต่อไปได้ ทั้งนี้การปรองดองต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ความยุติธรรม เมตตาธรรม และความจริงใจ
สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยโดย น.ส.สุญญาตา เมี้ยนละม้าย โฆษกสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยนิสิตคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิยาลัยออกแถลงการณ์ประณามการปราบปรามประชาชนด้วยอาวุธสงคราม และสนับสนุนข้อเรียกร้อง การลุกขึ้นสู้และป้องกันตนเองของคนเสื้อแดงในทุกรูปแบบ โดยได้มีข้อเรียกร้องดังนี้
  1. รัฐบาล และ ศอฉ. จะต้องรับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น โดยนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี ตลอดจนผู้รับผิดชอบใน ศอฉ. สมควรลาออกจากตำแหน่ง และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทั้งภายในและระหว่างประเทศ ตลอดจนจัดมีการเลือกตั้งใหม่เพื่อแก้ไขวิกฤติในทันที
  2. ให้มีการยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และพระราชบัญญัติความมั่นคงในทุกพื้นที่ในทันทีและหยุดการคุกคามปิดกั้นการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นช่องโทรทัศน์ วิทยุ และเว็บไซต์ต่างๆ
  3. ขอให้องค์กรสิทธิมนุษยชนสากลและประชาคมโลก ได้เข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่าด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชน และทำการกดดันรัฐบาลให้รับผิดชอบต่อการสูญเสีย ตลอดจนแทรกแซงหากจำเป็น
ทั้งนี้ ได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับการโยนความผิดของการสูญเสียนี้ให้เป็นของคนเสื้อแดง เพราะว่าการตัดสินใจชุมนุมเรียกร้องภายใต้เงื่อนไขใหม่ของคนเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นส่วนของแกนนำหรือมวลชนเอง ไม่ว่าจะมีฝ่ายใดมองว่าขัดต่อแนวทางปรองดองหรือไม่ถูกใจใครหลายคนแค่ไหนก็ ตาม ย่อมไม่ควรเป็นเหตุผลแห่งการเข่นฆ่าได้ และสนับสนุนการลุกขึ้นต่อสู้ตอบโต้และป้องกันตัวจากการถูกสังหารหมู่ในทุก รูปแบบ เพื่อพิทักษ์ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้ชุมนุม มิให้ต้องถูกสังหารทำลายล้างโดยกองกำลังทหารอย่างป่าเถื่อน และขอสนับสนุนข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงที่ต้องการให้มีการยุบสภาและนำตัว ผู้สั่งการสังหารหมู่ประชาชนมาสู่การลงโทษต่อไป

[แก้]ฝ่ายต่อต้านการชุมนุม

ในวันที่ 9 มีนาคม นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้อ่านแถลงการณ์ของพันธมิตรฯ ฉบับที่ 4/2553 ว่ารัฐบาลจะต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่กับผู้ชุมนุม เพื่อป้องปรามความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยระบุว่ากลุ่มพันธมิตรฯจะไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆในช่วงเวลาดังกล่าว
ในวันที่ 23 มีนาคม นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการกลุ่มสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ให้ชาวกรุงเทพมหานครรวมตัวกันเพื่อต่อต้านความรุนแรง รวมทั้งให้อยู่ในที่ตั้งเพื่อเฝ้าระวังเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นจากการชุมนุมของคนเสื้อแดง
กลุ่มพี่น้องมหิดลออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ นปช. ยุติให้ผู้ชุมนุมเจาะเลือดแม้ผู้ให้จะเต็มใจก็ตาม เนื่องจากเห็นว่าการนำเอาเลือดออกจากร่างกาย มีไว้เพื่อการตรวจวินิจฉัย เพื่อการรักษา หรือการบริจาคเท่านั้น มิสามารถกระทำเพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดได้ รวมทั้งมองว่าระดับแกนนำย่อมมีบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบในการดูแลผู้เข้าร่วมชุมนุมให้เกิดความปลอดภัยและมีสุขภาพอนามัยที่ดีอยู่ตลอดเวลา ไม่ควรเลือกวิธีที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ การอ่อนเพลียจากการสูญเสียเลือดและอากาศร้อนอบอ้าว 
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน อันประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ออกแถลงการณ์ขอให้กลุ่มคนเสื้อแดง คืนพื้นที่แยกราชประสงค์ที่ปักหลักชุมนุมมาตั้งแต่วันเสาร์ที่ 3 เมษายน 2553 โดยให้กลับไปชุมนุมบริเวนสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยที่ประชุม กกร. มีความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะการชุมนุมดังกล่าวสร้างความเสียหายต่อการทำมาหากินในทุกระดับ ตั้งแต่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ไปจนถึงร้านค้าย่อย รวมทั้ง นักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ และแม้ นปช.จะมีสิทธิในการชุมนุมเพื่อแสดงออกภายใต้ระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ควรจะละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ซึ่งข้อเรียกร้องต่างๆ ของกลุ่มผู้ชุมนุมควรมีความชัดเจนและจริงใจต่อกันเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่แท้จริง
ที่ประชุมสมาพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย ได้แสดงจุดยืนเรียกร้องให้รัฐบาลและกลุ่ม นปช. ร่วมกันหาทางออกเพื่อยุติความขัดแย้งและการชุมนุมโดยเร็ว หลังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้รับความเสียหายแล้วกว่า 1 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการรวมพลังของผู้ประกอบการในที่ต่างๆ เช่น จ.เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ สมุย พัทยา โดยใช้ข้อความว่า "ยุติความขัดแย้งเพื่อท่องเที่ยวไทย ทุกฝ่ายหยุดทำร้ายท่องเที่ยวไทย สมานฉันท์เพื่อท่องเที่ยวไทย" พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังเรียกร้องให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายดูแลการชุมนุมอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วและปราศจากความรุนแรง เพราะถ้าการชุมนุมยังยืดเยื้อจะกระทบความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของประเทศ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางมาเที่ยวเทศกาลสงกรานต์ โดยสำนักข่าวอัลจาซีร่า รายงานข่าวว่า การประท้วงของคนเสื้อแดงกำลังสร้างความไม่พอใจให้กับชาวกรุงเทพจำนวนมาก จนเกิดการชุมนุมของคนเสื้อชมพูมากกว่า 1,000 คน ที่สวนลุมพินี เพื่อระบุว่าพวกเสื้อแดงไร้เหตุผล นับเป็นครั้งแรกจากการบุกเข้ามาประท้วงในกรุงเทพฯ ของเสื้อแดงที่มีคนกลุ่มใหญ่ออกมาต่อต้าน เพื่อให้แน่ใจว่ารัฐบาลไทยที่มีกองทัพหนุนหลังจะไม่รีบร้อนยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ซึ่งอาจเปิดทางให้ผู้สนับสนุนของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรรีบขึ้นมาชิงอำนาจคืน 
16 เมษายน พ.ศ. 2553 นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำผู้ประสานงานกลุ่มประชาชนพิทักษ์ชาติ และกลุ่มเฟสบุ๊คต้านยุบสภา เดินทางมาให้กำลังใจการปฏิบัติหน้าที่ของทหาร ที่บริเวณด้านหน้า กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
18 เมษายน พ.ศ. 2553 กลุ่มคนเสื้อหลากสี อันประกอบด้วย เครือข่ายประชาชนพิทักษ์ชาติ และเครือข่ายเฟซบุ๊ก เดินทางมารวมตัวกันที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อร่วมเป็นกำลังใจให้รัฐบาลทำหน้าที่ พร้อมทั้งคัดค้านการยุบสภา และแสดงออกไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง
21 เมษายน พ.ศ. 2553 พนักงานบริษัทย่านสีลม ได้รวมตัวกันภายใต้ชื่อ เครือข่ายประชาคมชาวสีลม ออกมาชุมนุมในช่วงเวลาพักเที่ยงต่อต้านการกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง พร้อมทั้งมอบอาหารและน้ำให้กับทหารและตำรวจที่มาดูแลรักษาความปลอดภัย 

[แก้]ปฏิกิริยาจากนานาชาติ

สหรัฐอเมริกา โดยนายไมค์ โทเนอร์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา อ่านแถลงการณ์เพื่อสนับสนุนกระบวนการเจรจาเพื่อหาทางออกในวิกฤตการเมืองไทยระหว่างผู้นำฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายเสื้อแดง และสนับสนุนการแสดงตามสิทธิในการเดินขบวนตามท้องถนนแต่ก็ได้เรียกร้องให้แกนนำฝ่ายเสื้อแดงสาบานก่อนว่าจะหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงใด ๆ ด้วย ภายหลังจากเหตุการบุกรุกรัฐสภาของกลุ่มคนเสื้อแดง รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประณามกลุ่มผู้ประท้วง โดย นายฟิลิป โครว์ลีย์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อ่านแถลงการณ์ระบุว่า สหรัฐฯ เคารพการแสดงออกถึงสิทธิเสรีภาพ แต่การเข้าไปยังอาคารราชการ เป็นวิถีทางที่ไม่เหมาะสมสำหรับการประท้วงซึ่งทุกคนมีสิทธิในการชุมนุมและการประท้วงอย่างสงบ ซึ่งสหรัฐฯ หวังว่าความเห็นที่แตกต่างกันจะสามารถแก้ไขได้ด้วยสถาบันประชาธิปไตยและไม่ใช้ความรุนแรง 
นางออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านของพม่า วิพากษ์วิจารณ์วิกฤตการเมืองไทยว่ารัฐธรรมนูญที่ถูกเขียนโดยทหาร ทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพ พร้อมวิจารณ์การรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ว่าเป็นการยึดอำนาจพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้นำที่ได้รับการเลือกตั้ง
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ศูนย์สิทธิมนุษยชนเอเชียได้ส่งจดหมายเปิดผนึกให้แก่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย เพื่อเตือนให้หยุดใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ มิเช่นนั้นแล้วนายอภิสิทธิ์จะตกเป็นผู้รับผิดชอบตามมาตรา 25 (3) (a) ของธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ ในการจงใจใช้กำลังจู่โจมผู้ชุมนุมที่เป็นประชาชนโดยตรง ซึ่งการใช้กำลังกับผู้ชุมนุม นปช. ที่ราชประสงค์นั้นถือเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อมาตราที่ 8 (2) (e) (i) ของ ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ นอกจากเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียกเลิกการใช้กำลังทหารปราบปรามผู้ชุมนุมแล้ว ศูนย์สิทธิมนุษยชนเอเชียยังได้เสนอให้รัฐบาลไทยกลับมาใช้วิธีการเจรจากับผู้ชุมนุม เนื่องจากไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่มีการสังหารผู้ชุมนุมเช่นวันที่ 10 เมษายน เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม แบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการแห่งหน่วยงานฮิวแมนไรท์วอช ประจำกรุงนิวยอร์ก ชี้ว่าการประกาศใช้เขตใช้กระสุนจริงของรัฐบาลไทย เพื่อใช้ต่อสู้กับกลุ่มผู้ประท้วงคนเสื้อแดง เป็นสิ่งที่ล่อแหลมอันตราย โดยการประกาศเขตดังกล่าว ทำให้รัฐบาลไทยเสี่ยงที่จะเขยิบเข้าสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนของพลเรือน ซึ่งจะทำให้ทหารคิดอย่างตื้น ๆ ว่า เขตใช้อาวุธจริงก็คือเขตยิงกระสุนได้อย่างอิสระ โดยเฉพาะเมื่อความรุนแรงขยายตัว ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตชุมชนชาวบ้าน และรัฐบาลไทยจะต้องตระหนักว่า มีประชาชนคนธรรมดาอาศัยอยู่ที่นี่ด้วย ไม่ใช่แต่เฉพาะผู้ประท้วงเท่านั้น

[แก้]บทบาทสังคมออนไลน์ต่อการชุมนุม

สำหรับเหตุการณ์นี้ สังคมออนไลน์ เช่น ทวิตเตอร์, เฟซบุ๊ก,แคมฟรอก,ซอฟแคช มีบทบาทอย่างมาก สำหรับการรายงานข่าวของเหตุการณ์ โดยมีการ follow นักข่าวที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ ช่วยรายงานออนไลน์ ผ่านโทรศัพท์มือถือ เช่น แบล็คเบอรี่, ไอโฟน, 3Gข่าวที่ได้ก็รวดเร็วกว่าสื่ออื่นๆ และหลายข่าวมีผู้รายงานหลายคนให้เปรียบเทียบด้วย


อ้างอิง จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี